วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

พระนางพญาพิมพ์อกนูนใหญ่ยอดแคล้วคลาด

พระนางพญา พิมพ์อกนูนใหญ่เมตตามหานิยมยอดเยี่ยม-แคล้วคลาดเป็นเลิศ : พระองค์ครู โดยไตรเทพ ไกรงู
               พระนางพญา กรุวัดนางพญา จ.พิษณุโลก จัดว่าเป็นพระเนื้อที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นพระชั้นนำที่สุดของเมืองพิษณุโลกและถูกจัดให้เป็นพระในชุด “เบญจภาคี” ที่ถือว่าสุดยอดของประเทศไทยอีกด้วย
  
               ความจริง "วัดนางพญา" เป็นวัดเดียวกับ “วัดราชบูรณะ" ต่อมาภายหลังได้สร้างถนนผ่ากลางเลยกลางเป็น ๒ วัด การได้ชื่อว่า “วัดนางพญา” ก็เพราะได้พบพระนางพญานั่นเอง
  
               ตามการสันนิษฐาน พระนางพญานั้นเป็นผู้ที่สร้างคือ “พระวิษุสุทธิกษัตรี” มเหสีของ “สมเด็จพระมหาธรรมราชา” ผู้ที่ได้สร้างหรือปฏิสังขรณ์วัดราชบูรณะ ซึ่งเป็นบริเวณที่พบพระนางพญานั่นเอง เข้าใจว่าการสร้างพระนางพญานั้นประมาณ พ.ศ.๒๐๙๐-๒๑๐๐
  
               พระนางพญา เป็นพระรูปทรงสามเหลี่ยมทุกพิมพ์นั่งมารวิชัยไม่ประทับบนอาสนะหรือมีฐานรองรับ รูปทรงงดงามแทบทุกพิมพ์โดยเฉพาะจะเน้นบริเวณอกที่ตั้งนูนเด่นและลำแขนทอดอ่อนช้อยคล้ายกับ “ผู้หญิง” จึงเรียกพระพิมพ์นี้ว่าพระพิมพ์ “นางพญา” อีกประการหนึ่งก็คือผู้ที่สร้างก็คือ “พระวิสุทธิกษัตรี” นั่นเอง
  
               พระนางพญามีอยู่ ๖ พิมพ์คือ ๑.พิมพ์เข่าโค้ง ๒.พิมพ์เข่าตรง ๓.พิมพ์อกนูนใหญ่ ๔.พิมพ์ทรงเทวดา ๕.พิมพ์สังฆาฏิ และ ๖.พิมพ์อกนูนเล็ก นอกจากนี้แล้วยังมีพิมพ์พิเศษ เช่น พิมพ์เข่าบ่วง หรือพิมพ์ใหญ่พิเศษ
  
               “พระนางพญาพิมพ์อกนูน” ก็เป็นพระนางพญาอีกพิมพ์ที่มีค่านิยมสูงแต่เป็นเพราะพระพิมพ์นี้มีจำนวนน้อยมาก นักสะสมจึงให้ความนิยมรองลงมาจาก “พิมพ์เข่าตรง” แต่กระนั้นหากองค์ไหนมีสภาพสวยสมบูรณ์ การกดพิมพ์ติดชัดเจนแล้วหากจะหามาบูชา ก็ต้องใช้เงินหลักล้านเช่นกัน
  
               พระนางพญา พิมพ์อกนูนใหญ่ เป็นพิมพ์ที่พบน้อยและหายากมาก พระพิมพ์นี้มีภาพปรากฏในวงการพระเครื่องน้อยมาก องค์นี้ที่นำมาจัดเป็นองค์ที่สวยสมบูรณ์ระดับ “แชมป์” สวยสมบูรณ์มาก มีรายละเอียดหน้าติดหมด พระพิมพ์นี้สภาพตามที่ปรากฏมีการเช่าซื้อกันในหลัก ๒-๓ ล้านบาท
  
               ส่วนการลงรักนั้นลงไว้ภายหลัง เมื่อ ๖๐-๗๐ ปี ก่อน เข้าใจว่าผู้ครอบครองในครั้งนั้นอาจจต้องการรักษาเนื้อพระ อย่างไรก็ตามมีความพยายามที่จะล้างรักออกแต่ล้างได้ไม่หมด รวมทั้งไม่ได้ทำความเสียหายใดๆ ให้กับองค์พระ
  
               พระนางพญา พิมพ์เข่าโค้ง ค่านิยมสูงสุดประมาณ ๔-๕ ล้าน ในอดีตบางองค์เคยมีการเช่าหากันในราคาถึง ๗ ล้านบาท ส่วนพระนางพญา พิมพ์เข่าตรงค่านิยมรองลงมา พอๆ กับพิมพ์อกนูนใหญ่
  
               พระนางพญาไม่ว่าพิมพ์ไหน ลักษณะของเนื้อจะเหมือนกันหมด ผิดกันแต่พิมพ์ทรงเท่านั้น ส่วนทางด้านพุทธคุณนั้นยอดเยี่ยมทางด้านเมตตามหานิยม และแคล้วคลาดเป็นเลิศ สมกับเป็นหนึ่งในห้าชุดของชุดเบญจภาคีนั่นเอง


พระ นางพญา เข่าโค้ง อกนูนใหญ่ เห็น หน้า ตา คิ้ว จมูก

พระนางพญา กรุวัดนางพญา จ.พิษณุโลก จัดว่าเป็นพระเนื้อที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นพระชั้นนำที่สุดของเมืองพิษณุโลกและถูกจัดให้เป็นพระในชุด เบญจภาคี ที่ถือว่าสุดยอดของประเทศไทยอีกด้วยพระนางพญา เป็นพระรูปทรงสามเหลี่ยมทุกพิมพ์นั่งมารวิชัยไม่ประทับบนอาสนะหรือมีฐานรองรับ รูปทรงงดงามแทบทุกพิมพ์โดยเฉพาะจะเน้นบริเวณอกที่ตั้งนูนเด่นและลำแขนทอดอ่อนช้อยคล้ายกับ ผู้หญิง จึงเรียกพระพิมพ์นี้ว่าพระพิมพ์ นางพญา

พระนางพญา พิมพ์อกนูนใหญ่ เป็นพิมพ์ที่พบน้อยและหายากมาก พระพิมพ์นี้มีภาพปรากฏในวงการพระเครื่องน้อยมาก จึงทำให้เป็นพระเครื่องที่หายากและมีราคา พระนางพญาไม่ว่าพิมพ์ไหน ลักษณะของเนื้อจะเหมือนกันหมด ผิดกันแต่พิมพ์ทรงเท่านั้น ส่วนทางด้านพุทธคุณนั้นยอดเยี่ยมทางด้านเมตตามหานิยม และแคล้วคลาดเป็นเลิศ สมกับเป็นหนึ่งในห้าชุดของชุดเบญจภาคีนั่นเอง พระนางพญาพิมพ์อกนูน จะมีจุดเด่นตรงที่ “พระอุระ” (อก) จะนูนหนาใหญ่กว่าพระนางพญาทุกพิมพ์นักสะสมจึงเรียกว่า “พิมพ์อกนูน” ตามพุทธลักษณะที่มีอกนูนกว่าทุกพิมพ์

พระนางพญาพิมพ์อกนูน ส่วนพุทธลักษณะอื่น ๆ ก็จะคล้ายกับพิมพ์เข่าโค้ง และ พิมพ์เข่าตรง คือการประทับนั่งจะอยู่ในลักษณะของ “ปางมารวิชัย” เช่นกันและ “พระเกศ” (ผม) จะมีลักษณะคล้าย “ปลีกล้วย” โยพุทธลักษณะที่แตกต่างจากพิมพ์ “เข่าโค้ง” และ “เข่าตรง” ก็มีเช่นกันนอกจากมีอก  ที่นูนหนาใหญ่แล้ว “พระพักตร์” (หน้า) ก็จะมีลักษณะที่เรียวยาวกว่าคล้ายผลมะตูมและหากองค์ใดที่พิมพ์ติดชัดจะปรากฏ “พระขนง” (คิ้ว) พระเนตร (ตา) พระนาสิก (จมูก) และ “พระโอษฐ์” (ปาก) เช่นกันแต่พบเห็นน้อยมากเนื่องจากสร้างไว้จำนวนน้อยนั่นเอง

และพระนางพญา อกนูนใหญ่ที่ท่านได้กำลังชมอยู่นี้ นับว่าเป็นพิมพ์ที่เราสามารถมองเห็น หน้า , ตา , คิ้ว , จมูก ขององค์พระที่เราสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยตาเปล่า และจะสังเกตได้ว่าพระเก่ามากและพิมพ์นี้มักจะไม่ค่อยเห็นกันได้ง่ายๆ หากใครสนใจอยากจะให้ถอดกรอบเพื่อถ่ายรูปแบบชัดๆก็บอกได้ครับ พอดีเวลาน้อยก็เลยถ่ายทั้งกรอบ ใครสนใจเสนอราคาหรือโทรมาสอบถามได้ องค์นี้พ่อเค้าเก็บไว้นานมาก เลยขอพ่อมาลงเว็บเพื่อโชว์หรือเพื่อปล่อยเช่าก็ได้ครับ

http://kruprathai.com/detail.php?id_detail=1859


พระนางพญา กรุสุดสวาสดิ์

พระนางพญากรุวัดสุดสวาสดิ์ ได้มีการขุดค้นพบเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ก่อนการขุดพบพระวัดนางพญา(กรุวัดนางพญาขุดพบครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔ )คนสมัยก่อนสนใจพระนางพญากรุวัดสุดสวาสดิ์ เพราะอนุภาพพุทธคุณในด้านเมตตามหานิยม และยังเป็นต้นแบบของพระพิมพ์นางพญา กรุวัดนางพญาและวัดต่างๆ ในจังหวัดพิษณุโลก จึงทำให้ผู้คนสนใจพระนางพญากรุวัดสุดสวาสดิ์มากกว่านางพญากรุวัดนางพญา และนางพญากรุวัดสุดสวาสดิ์เป็นพระกรุที่หายากที่สุด มีผู้รู้จักลักษณะที่แท้จริงน้อยมาก จนปัจจุบันในวงการพระเครื่องเกือบจะไม่มีใครกล่าวถึง พระนางพญากรุนี้อีกแล้ว นักสะสมรุ่นเก่าเชื่อว่า มีพุทธคุณในด้านเมตตามหานิยมสูงกว่าพระนางพญากรุวัดนางพญาเสียอีก พระนางพญากรุวัดสุดสวาสดิ์ มีอยู่หลายพิมพ์ทรง ที่เรียกหาแบบเดียวกันกับของวัดนางพญา เช่น \\\"พิมพ์ทรงเทวดา\\\" \\\"พิมพ์ทรงสังฆาฏิ\\\" เป็นต้น แต่ของวัดสุดสวาสดิ์จะมีต่อสร้อย เช่น \\\"พิมพ์สังฆาฏิหูช้าง\\\" ซึ่งลักษณะของใบหูในพระพิมพ์นี้ จะมีลักษณะค่อนข้างใหญ่หนา และกางออกมาก ผิดกับนางพญาสังฆาฏิของวัดนางพญา ถื่อเป็นเอกลักษณ์ของพระนางพญากรุวัดสุดสวาสดิ์อีกอย่างหนึ่ง ส่วนเนื้อหาจะมีความละเอียด หนึกนุ่ม เพราะมีส่วนผสมของว่าน และเกสรดอกไม้ มากกว่าเนื้อดิน ซึ่งแร่ของนางพญาทุกพิมพ์ สามารถแยกได้ด้วยสายตามีอยู่ ๔ ชนิด มีคำกล่าวถึงพระนางพญาวัดสุดสวาสดิ์ จากเซียนพระหลายท่าน อย่าง ตรียัมปวาย เชียร ธีรศาณต์ และ สมศักดิ์ จวงสวัสดิ์ ได้กล่าวถึงสีของเม็ดแร่ทั้ง ๔ ชนิด วรรณะสีสันของพระพิมพ์วัดสุดสวาสดิ์ ส่วนใหญ่ที่พบเห็นจะเป็นสีแดงเข้ม แบบมันปู แดงอ่อน วรรณะอีกชนิดที่มีลักษณะพิเศษ คือ มีสีสวาด มีทั้งสวาดเทา สวาดเหลือง และสวาดเขียว ปัจจุบัน นางพญากรุวัดสุดสวาสดิ์ หาได้ยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง คนที่มีก็รักและหวงแหนเป็นอย่างมาก กว่า กรุวัดนางพญาเสียอีก เพราะชื่อก็ดี พุทธคุณก็สูงยิ่ง พระกรุวัดนางพญาเพิ่งมาโด่งดังเอาเมื่อ ตรียัมปวาย จัดเข้าชุดเบญจภาคี แต่นางพญากรุวัดสุดสวาสดิ์นั้น มีชื่อเสียงโด่งดังในจังหวัดพิษณุโลกมาเนิ่นนานแล้ว สำหรับพระนางพญาองค์นี้ เป็นพิมพ์สังฆาฏิหูกระต่าย เป็นพระที่สมบูรณ์และสวยงามมาก มีสีแดงเข้ม แบบมันปู มีคราบว่านให้เห็น ดูง่ายถูกต้องตามหลักที่เซียนพระรุ่นเก่าหลายท่าน ที่ได้บัญญัติไว้ ท่านใดที่สนใจ ให้รีบกันหน่อยนะครับ ส่วนตัวผมเองคิดว่าถ้าให้เช่าไปแล้ว ไม่รู้ว่าชาตินี้จะมีวาสนาได้ครอบครองพระกรุนี้อีกหรือไม่ ก็ม่าย.........รู้ครับ (ขอขอบคุณข้อมูลจากนิตยสาร ลานโพธิ์) ( เชิญชมพระองค์จริงได้ที่ ชั้น P เดอะมอลล์บางแค กทม. และ ชั้น 2 พันธ์ทิพย์พลาซ่า เชียงใหม่ ครับ ร้าน ยุทธ นครพิงค์ เราคัดสรรแต่พระสวยและดูง่ายไว้บริการทุกท่าน )


http://www.pramontien.com/pra_details.php?post_no=2459

พระนางพญา หลังยันต์ดวง ปี 14

ของดี พิธีใหญ่ พระนางพญาหลังยันต์ดวง พิมพ์เล็ก ปี 2514 รวมสุดยอดพระเกจิในสมัยนั้นร่วมปลุกเสกกันอย่างคับคั่ง องค์นี้ สภาพสวย ผิวเดิม ๆ
    พระนางพญาหลังยันต์ดวง สร้าง ปี 2514 พร้อมกับพระลีลา  จัดสร้างโดยวัดนางพญา จังหวัดพิษณุโลก สมัยพระอาจารย์ถนอม เขมจาโร และพระครูบวรชินวัฒน์ โดยมีสมเด็จพระวันรัต (ปุณ ปุณณสิริ) ซึ่งต่อมาท่านได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่17 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และทรงจุดเทียนชัย พระอาจารย์ไสว สุมโน เป็นเจ้าพิธี พระครูวาม เทพมุนี เป็นประธานฝ่ายพรามห์จารย์ และพลโทสำราญ แพทย์คุณ แม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานฝ่ายฆราวาสและหลวงพ่อเงินวัดดอนยายหอม ทำพิธีดับเทียนชัย วัตถุประสงค์เพื่อหาทุนสร้างพระอุโบสถวัดนางพญา เริ่มดำเนินการเมื่อวันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2514 เวลา 09.12 น. เป็นปฐมฟกษ์ตามพระฤกษ์สร้างพระอุโบสถ์ที่ได้รับพระราชทานจากองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู้หัว และประกอบพิธีมหาจักพรรดิ์ตราธิราชตามจารีตประเพณีโบราณจารย์ พิธีอภิมหาพิธีพุทธาภิเศกที่ยิ่งใหญ่ มีพระเกจิร่วมพิธี 108 รูป อาทิ
- หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
- หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
- หลวงปู่ฝั่น อาจาโร สำนักสงฆ์ถ่ำขาม
- หลวงพ่อผาง วัดอุดมคงคาคีรีเขต์
- หลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั่ง
- ครูบาพรหมจักร์สังวร วัดพระพุทธบาทตากผ้า
- หลวงพ่อทบ วัดชนแดน
- หลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์
- หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว
- หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย์
- หลวงพ่อโอด วัดจันเสน
- หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง
- หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอม
- หลวงพ่อปี้ วัดด่านลานหอย
- หลวงพ่อพริ่ง วัดโบสถ์โกร่งธนู
- หลวงพ่อบุญมี วัดท่าสต๋อม
- หลวงพ่อแกร วัดส้มเสี้ยว
- หลวงพ่อประมุข วัดจงโก
- หลวงพ่อสว่าง วัดคหบดี
- หลวงพ่อสิงห์ วัดกุญชรวราราม
- หลวงพ่อสด วัดหางน้ำสาคร
- หลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน
และสุดยอดเกจิที่มีชื่อเสียงอีกหลายรูปในยุคนั้น โดยมีพระอาจารย์ไสว วัดราชนัดดา เป็นเจ้าพิธี


พระนางพญามหาเสน่ห์ หลังยันต์นะฤาชา ฝังตะกรุดตับเสน่ห์ อาบน้ำมันเสน่ห์จันทร์

พระนางพญามหาเสน่ห์ หลังยันต์นะฤาชา ฝังตะกรุดตับเสน่ห์ อาบน้ำมันเสน่ห์จันทร์
เป็นตำนานสุดยอดพระเครื่องมวลสารอาถรรพ์ ผงเยี่ยวนางนี(เยี่ยวชะนี) ขี้ซีนกเงือก เปลือกชาดเจ็ดป่าช้า

ผงเยี่ยวชะนี ผงเสน่ห์ พระอาจารย์เทพ เทพอินโท พระเยี่ยวชะนีเป็นเนื้อผงผสมว่านและที่ขาดไม่ได้คือเยี่ยวชะนีตามตำราโบราณ ซึ่งถือว่าเป็นมวลสารอาถรรพ์ตามธรรมชาติ พระเยี่ยวชะนีนั้นในการทำพระพิมพ์สมเด็จชะนีนั้น มวลสารที่ขาดไม่ได้ก็มีอยู่ด้วยกัน 4 อย่างคือ 1 ยอดสวาท 2 ยอดรักซ้อน 3 ว่านสาวหลง 4 เยี่ยวชะนี และผงอิธิเจ ในส่วนของเยี่ยวชะนี การเก็บเยี่ยวชะนีก็จะเก็บมาโดยเอาใบรักซ้อน ใบสวาท ใบมะยม ใหชะนีเยี่ยวรด แล้วนำมาผึ่งแดด และบดเป็นผงเพื่อให้ง่ายต่อการนำมาใช้เป็นมวลสารหลักในการจัดสร้างสมเด็จเยี่ยวชะนีอันลือลั่น พุทธคุณ เมตตาล้วนๆในส่วนของการปลุกเสก ส่วนตำราในสายเขมร และสายอีสานต้องมีผงเยี่ยวนางนี ขี้ซีนกเงือก เปลือกซากเจ็ดป่าช้า คือ 1 เยี่ยวชะนีตามที่กล่าวเอาไว้เอาใบไม้นามมงคลมีใบรักซ้อน ในสวาท ใบมะยม ให้ชะนีเยี่ยวรด แล้วนำมาผึ่งแดด และบดเป็นผง ผสมกับผงอิธิเจ และผงยาเสน่ห์ ปลุกเสกด้วย นะอ่อนใจ 2 ขี้ซีนกเงือก ซึ่งดวยพระอาจารย์เทพ เป็นคนโคราช คุ้นเคยกับเขาใหญ่ รูจักดินโป่ง และนกเงือกว่ามีของดีของอาถรรพ์อยู่ในตัว ตำราครูบาอาจารย์ท่านว่าไม่ได้นำเอานกเงือกมาทำ มันเป็ฯบาป ให้เอาขี้ซ๊เป็นภาษาอีสาน คือยางที่แห้งของต้นไม้อยู่ใต้รัง วิธีเอาต้องเป็นผู้รู้วิชา โดยเท่านพระอาจารย์เทพเป่ามนต์มหาระงับปลุกเสกมะนาวแล้วโยนข้ามต้นไม้ที่มีรักนกเงือกแล้วปีนขึ้นไปเอาถ้านกเงือกบินหนีถือว่าใช้ไม่ได้ ต้องให้นกเงือกหลับทั้งหมดเลยที่เดียว พระอาจารย์เสกครั้งเดียวแล้วใช้ให้ลูกศิษย์ที่ถือศีลแปดปีขึ้นไปเอาช้าเวลาอยู่สามเดือนได้มาครึ่งกิโล นำขี้ซีมาบดละเอียด แล้วทำน้ำมนต์แม่น้ำทั้งห้าปลุกเสกผสมลงกับผงเยียวชะนีเฉพาะขี้ซีนี้ท่านว่าแรงก่ว่าเยี่ยวชะนีนับพันๆเดท่าแลยที่เดีว สมัยพระพระอาจารย์ไปเรียนกับหลวงพ่อชื่นก็ใช้ให้ท่านไปหาสิ่งนี้แหละเพื่อแลกกับวิชาของหลวงพ่อนับว่าแรงจริงๆ 3 เปลือกเจ็ดป่าช้า มีมากในภาคอีสานแต่ท่านให้เอาเฉพาะเขตอีสานได้เท่านสั้นเอาเปลือกตรงโคนต้นไม้รวมทั้งเอาเนเจ็ดป่าช้าติดมาด้วย แล้วนำมาเผาให้ละเอียดตำป่นอีกทีนึง ล้วนแต่เป็นของอาถรรพ์แรงมากๆ ท่านยังได้ผสมจุนแผนที่หลวงปู่สรวงปลุกเสกป่นลงไปอีเป็นจำนวนมาก ผสมกับผงว่านด้านมหาเสน่ห์ มีว่าน นุภาพนั้นเรื่องมหานิยม โชคลาภฯลฯ


พระ ชุดนี้แรงมากมีพุทธคุณด้าน มหาเสน่ห์เป็นหลัก พร้อมทั้งเรื่องมหาลาภ เรียกทรัพย์ เจริญในหน้าที่การงาน หนุนดวงชะตา เป็นเมตตา มหานิยม มหาละลวยอยู่ในตัว แคล้วคลาด ปลอดภัย อยู่ยงคงกระพัน อีกทั้งมหาอุต อีกด้วย มีพุทธคุณครอบจักรวาล


พระนางพญา

ศูนย์อาชีพและธุรกิจมติชน ร่วมกับสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย จัดเปิดอบรมหลักสูตรพื้นฐานในการพิจารณา ชุดพระเครื่องเบญจภาคี พระสมเด็จวัดระฆังฯ, พระนางพญา กรุวัดนางพญา จ.พิษณุโลก 

มี นายพิศาล เตชะวิภาค หรือ ต้อย เมืองนนท์ อุปนายกสมาคม เซียนพระชื่อดัง เป็นวิทยากรบรรยายความรู้ ในวันอาทิตย์ที่ 5 ส.ค. 2555 ระหว่างเวลา 09.00-16.00 น. ณ หอประชุมข่าวสด หมู่บ้านประชานิเวศน์ 1 เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 



สุดยอดพระเครื่องของเมืองไทย ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่นักสะสมมายาวนาน พระชุดเบญจภาคี ประกอบด้วยพระสมเด็จ วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ จัดสร้างโดย สมเด็จ พุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เป็นตัวแทนยุครัตนโกสินทร์ พระซุ้มกอ เป็นตัวแทนยุคสุโขทัย พระนางพญา กรุวัดนางพญา จ.พิษณุโลก เป็นตัวแทนยุคอยุธยา-พระพิษณุโลก สองแคว พระผงสุพรรณ กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.สุพรรณ บุรี เป็นตัวแทนยุคอู่ทอง-สุพรรณภูมิ และพระรอด กรุวัดมหาวัน จ.ลำพูน เป็นตัวแทนยุคลพบุรี 

พระเครื่องชุดเบญจภาคีนั้น งดงามด้วยพุทธศิลป์ เปี่ยมด้วยพุทธคุณ ถ้าอาราธนาเข้าชุดในสร้อยเส้นเดียวกันทั้ง 5 องค์ โดยให้ สมเด็จวัดระฆังฯ อยู่ตรงกลาง พระนางพญา อยู่ล่างซ้าย พระซุ้มกออยู่ล่างขวา พระผงสุพรรณอยู่บนซ้าย และพระรอด อยู่บนขวา ดูเหมาะสมลงตัวเป็นที่สุด 

แต่ถ้าจะห้อยเพียงองค์เดียว พระนางพญาพิมพ์สาม เหลี่ยม มีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง สำหรับอาราธนาขึ้นคอทั้งสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี และเด็ก

ด้วยเพราะองค์มีขนาดเล็กกะทัดรัด 




"พระนางพญา" เป็นพระกรุพระเก่าเนื้อดินเผามีอยู่ด้วยกันหลายพิมพ์ พิมพ์ที่นิยมที่สุด คือ "พิมพ์เข่าโค้ง" รองลงมา พิมพ์เข่าตรง, พิมพ์อกนูนใหญ่, พิมพ์สังฆาฏิ, พิมพ์เทวดาหรือพิมพ์อกแฟบ และพิมพ์อกนูนเล็ก 

"วัดนางพญา" ตั้งอยู่หลังวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก 

สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา และเป็นวัดที่พระมเหสีของพระมหากษัตริย์เป็นผู้สร้างวัดนี้ไว้คู่กับวัดราชบูรณะ



พระเครื่องที่พบในกรุวัดนางพญา เท่าที่พบมีอย่างเดียวคือ "พระนางพญา" และเป็นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากเป็นที่นิยมอยู่ในชุดเบญจภาคี การขุดพบพระครั้งแรกเมื่อปี 2444 กรุพระนางพญา เป็นซากปรักหักพังฝังจมดินอยู่บริเวณด้านหน้าของวัด การที่พบก็เพราะเหตุที่ทางวัดดำริจะปลูกสร้างศาลาเล็กๆ ขึ้นตรงบริเวณนั้น ครั้นพอขุดหลุมจะลงเสาศาล ก็ได้พบพระนางพญาจำนวนมากฝังจมดินอยู่กับซากกรุ และได้เก็บรวบรวมไว้ที่วัดนางพญานั่นเอง

ต่อมาได้มีการขุดพบพระนางพญาอีกเมื่อปี 2487 แต่ก็มีจำนวนไม่มากนัก



พระนางพญาพิษณุโลก พิมพ์ที่นิยมกันมากๆ ก็คือพิมพ์เข่าโค้งและพิมพ์เข่าตรง พระทั้งสองพิมพ์นี้มีขนาดไล่เลี่ยกัน และสำหรับพิมพ์เข่าตรงเองก็ยังจำแนกออกเป็นสองพิมพ์ คือพิมพ์เข่าตรง และพิมพ์เข่าตรง (มือตกเข่า) ซึ่งมีลักษณะและขนาดใกล้เคียงกันอีกด้วย 

พระนางพญา ชื่อเป็นมงคล ใครได้มีโอกาสครอบครองจะมียศฐาบรรดาศักดิ์ ทรัพย์สินเงินทอง 

ไม่ต่างอะไรกับ "นางพญา" 

พุทธคุณขององค์พระนางพญา มีความเชื่อโดดเด่นด้านมหาเสน่ห์เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย


http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dPVEEwTURjMU5RPT0=

สมเด็จนางพญา พระนางพญา

สมเด็จนางพญา พระนางพญา
อุลกมณี มีหลายชื่อที่เรียกหากัน อุกกามณี แก้วข้าว สะเก็ดดาว เหล็กไหลต่างดาว คดปลวก พลอยจันทรคราส หยดน้ำฟ้า(ตามรูปร่างที่ปรากฏ) สะเก็ดดาว หรืออุลกมณี ตรงกับคำว่า "tektite" ในภาษาอังกฤษ โดยมีรากศัพท์มาจากคำว่า Tektos ในภาษากรีก แปลว่า หลอมละลาย อุลกมณีที่พบจะมีเนื้อแก้ว ส่วนใหญ่สีดำทึบคล้ายนิล บางชิ้นมีเนื้อในสีน้ำตาลใส ผิวของอุลกมณีจะเป็นหลุมเล็ก ๆ โดยรอบ รูปลักษณ์สัณฐานของอุลกมณีไม่แน่นอน อาจเป็นก้อนกลม ยาวแบน แท่งกลมยาว คนไทยบางท่านเชื่อว่าสามารถแบ่งอุลกมณี เป็นชนิดต่างๆตามรูปร่าง เช่น ตัวผู้(รูปทรงเป็นแท่งคล้ายลึงค์) หรือตัวเมีย(รูปทรงกลม) มนุษย์เรารู้จักอุลกมณีมานานแล้ว โดยเชื่อกันว่าเป็นสะเก็ดดาวจากนอกโลก ที่ตกเข้ามายังพื้นผิวโลก
TEKTITE ( สะเก็ดดาว )
บางทีก็จะเรียกว่า อุกมณี หรือ คดปลวก สะเก็ดดาว มีพละพลังสูงส่ง หากท่านที่สามารถจับพลังได้ทดลองจับดูจะรู้สึกร้อนมือ หรือมีบางอย่างกระตุ้นที่ฝ่ามือ หรือ ชาๆ ที่มือ สะเก็ดดาว หรือ Tektite มาจากคำว่า Tektos ในภาษากรีก แปลว่า หลอมละลาย ชื่อนี้ถูกขนานนามโดย SUESS เมื่อปี ค.ศ 1900 ท่านผู้นี้เชื่อว่าสะเก็ดดาวเป็นแร่ชนิดหนึ่ง มาจากนอกโลกหรือต่างพิภพ บางท่านเชื่อว่ามาจากดวงจันทร์ รูปลักษณ์สัณฐาน ไม่แน่นอน อาจเป็นก้อนกลวงรูปไข่ยาวแบน แต่ที่แน่ ๆ คือที่ผิวของสะเก็ดดาวจะเป็นหลุมเล็ก ๆ โดยรอบ ทั้งนี้เนื่องจากซิลิกา (Silica) หลอมละลายเป็นแก้วเมื่อเสียดสีกับบรรยากาศ มีขนาดความกว้าง ไม่เกิน 2 นิ้ว ที่พบเสมอ ๆ คือขนาดประมาณ 1 นิ้ว สีดำ น้ำตาล หรือสีเขียว มักพบจมดินอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม

คุณสมบัติของสะเก็ดดาว
เป็นแหล่งของศิลปศาสตร์ความรอบรู้และพลัง กระตุ้นเตือนจิตสำนึกก่อให้เกิดความจดจำอันแม่นยำ ลึกซึ้ง จึงควรใช้ขณะปฏิบัติการต่าง ๆ เช่น ขณะทำสมาธิจิต การพกพาไว้กับตัวก่อให้เกิดสนามพลังแก่ออร่ารอบตัว ทำให้ออร่าเข้มเข็ง มั่นคง ปกป้องคุ้มครอง และขับไล่สิ่งที่มารุกราน ขจัดปัดเป่าสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ (วิญญาณแฝงหรือพลังแฝง)
นำสะเก็ดดาววางไว้ที่จักระ 6 ขณะทำสมาธิจิต หรือสรรสร้างพลังตาทิพย์ เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมแห่งธรรมชาติ เกิดความรู้ความคิดสร้างสิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ เหมาะกับนักออกแบบ ศิลปิน นักแสดง นักดนตรี นักศึกษาหาความรู้ ถ้าวางไว้ที่จักระ 4 หรือทำเป็นจี้ห้อยคอ ช่วยบรรเทาอาการผิดปกติต่าง ๆ ของจิตใจ ผู้ที่มีความรู้สึกหมดหวัง หมดอาลัยในชีวิต ถ้านำสะเก็ดดาววางไว้ที่จักระ 5 ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นที่อยู่ห่างไกล หรือติดต่อกับวิญญาณที่อยู่ต่างมิติ ( Telepathic Communication )
การใช้สะเก็ดดาวร่วมกันกับพลอยชนิดอื่น ๆใช้สะเก็ดดาวร่วมกับ พลอยสีม่วง จะช่วยเพิ่มพลังแก่จักระที่ 6 และ 7 เกิดการหยั่งรู้ ( Intuition ) ต่อเชื่อมกับผู้รู้และเทพเบื้องบน ใช้ร่วมกับ Rose Quartz ที่จักระ 4 ก่อให้เกิดพลังแห่งความเมตตา เหมาะแก่ผู้ที่มีอารมณ์กร้าวร้าว ดุดัน โหดร้าย เห็นแก่ตัว ชอบเอาเปรียบผู้อื่น ใช้ร่วมกับพลอย Lapis Lazuli ก่อให้เกิดพละพลังแห่งความนึกคิดทั้งหลาย มีความเฉลียวฉลาดมีไหวพริบดีขึ้น ใช้ร่วมกับ Citrine ก่อให้เกิดความนึกคิดแห่งการสรรสร้าง วางไว้ที่จักระ 6 เกิดญาณหยั่งรู้ เหมาะแก่ครูอาจารย์ และผู้ศึกษาหาความรู้

ตามความเชื่อ

เชื่อว่ามีเทพคุ้มครองจึงไม่แนะนำให้นำไปแกะสลักโดยไม่เชิญดวงวิญญาณออกก่อน เมื่อแกะสลักแล้วจึงค่อยเชิญดวงวิญญาณเข้าไปใหม่

เชื่อกันว่ามีสรรคุณน้องๆเหล็กไหล แต่หาคนใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ได้น้อย

เด่นทางด้านโชคลาภ ค้าขายจึงเรียกว่า แก้วข้าว ในทางเหนือนิยมเก็บไว้ที่ยุ้งฉาง
จะทำให้พืชพันธ์ให้ผลผลิตสูง

เป็นนายแห่งอัญญมณีทั้งปวงช่วยขจัดพลังอัญมณีให้โทษ และเสริมฤทธิ์อัญมณีมีคุณทั้งปวง
สมเด็จนางพญา พระนางพญา แกะจากอุลกมณี หรือ สะเก็ตดาว การแกะสลักพระสมเด็จนางพญา มีความยากกว่าการแกะหินทั่วไป ราคาพระสมเด็จนางพญาจึงสูงกว่าการแกะสลักพระเนื้อทั่วไป




วัดนางพญา

วัดนางพญา สันนิษฐานว่า ผู้สร้างพระนางพญาคือ พระวิสุทธิกษัตรีย์ พระ มเหสีของพระมหาธรรมราชา และทรงเป็นพระราชมารดาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ทรงสร้างพระนางพญาขึ้นในคราวบูรณปฏิสังขรณ์วัดราชบูรณะ ราวปี พ.ศ. 2090 – 2100 ขณะนั้นพิษณุโลกเป็นเมืองลูกหลวง และพระองค์ดำรงพระอิสริยยศเป็นแม่เมืองสองแคว และพระมหาธรรมราชาทรงพระอิสริยยศที่ พระอุปราช แห่งแผ่นดินพระมหาจักรพรรดิ กรุงศรีอยุธยา พื้นที่ติดกับวัด พระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) โดยมีถนนจ่าการบุญคั่นกลาง นอกจากนั้นอยู่ติดกับวัดราชบูรณะ แต่ปัจจุบันถนนสายมิตรภาพตัดผ่าน   ทำให้วัดนางพญากับวัดราชบูรณะ ตั้งอยู่คนละฝั่งถนน ได้ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ในวันที่ 27 กันยายน 2479 เฉพาะวิหาร ปัจจุบันเป็นอุโบสถ และเจดีย์ย่อมุมไม้สิบ 2 องค์   สำหรับประวัติวัดนางพญา สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์เมื่อ 13 พฤษภาคม ร.ศ. 120 (พ.ศ. 2444) ความว่า ออกจากศาลาการเปรียญไปวัดนางพญาดูระฆังใหญ่ปากกว้างประมาณ 2 ศอก เป็นระฆังญวนทำด้วยเหล็ก แล้วไปดูวิหาร เล็กกว่า วัดราชบูรณะหน่อยหนึ่ง นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินยังวัดนางพญาเมื่อ 16 ตุลาคม ร.ศ. 120 (พ.ศ. 2444) เมื่อเสร็จการจุดเทียนชัยแล้ว ไปดูวัดนางพระยา ซึ่งอยู่ติดต่อกับวัดมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่)   ด้านหลังพระอุโบสถ มีเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสององค์ใหญ่ มีขนาดฐานกว้าง 9.10+9.10 เมตร สูง 11.60 เมตร ยังปรากฏชั้นฐานแข้งสิงห์อยู่สองชั้น สภาพค่อนข้างชำรุดทรุดโทรม ลักษณะศิลปะอยุธยาตอนปลายต่อรัตนโกสินทร์ตอนต้น ส่วนเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสิงเล็ก มีขนาดฐานกว้าง 3.70+3.70 เมตร สูง 7.95 เมตร ยังปรากฏฐานแข้งสิงห์รองรับองค์ระฆังอยู่และบัวกลุ่มด้านบนยอดเหนือชั้นบังลังก์ขึ้น สภาพคอนข้างชำรุดแตกหักไม่ต่างกัน วัดนางพญาแห่งเดิมทีไม่มีพระอุโบสถ จะมีเพียงแต่พระวิหารเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนบบทรงโรง มี 6 ห้องสถาปัตยกรรมศิลปะสมัยสุโขทัย มีพระพุทธรูปประธานเป็นปูนปั้น ศิลปะสุโขทัย ฝาผนังด้านหลังเขียนภาพไตรภูมิ ส่วนฝาผนังด้านหน้าเขียนภาพพระพุทธประวัติ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2515 พระครูบวร ชินรัตน์ (ม้วน) เจ้าอาวาสวัดนางพญาได้บูรณะแปลงพระวิหารหลังนี้ให้เป็นพระอุโบสถ โดยการก่อสร้างขึ้นใหม่หมดทั้งหลัง กว้าง 10.50 เมตร ยาว 20 เมตร ทำให้ไม่สามารถที่จะศึกษาสภาพของพระวิหารโบราณหลังเดิมได้เลย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบันพระราชทานพระฤกษ์การสร้างอุโบสถ ณ วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ.2521 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาวันที่ 24 มกราคม พ.ศ.2506   ส่วนการขุดพบในกรุครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2444 พระพิมพ์นางพญาถูกบรรจุไว้บนหอระฆังของเจดีย์ ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของวัด ต่อมาเมื่อเจดีย์หักพังลงมา พระนางพญา จึงตกลงมาปะปนกับซากเจดีย์ และกระจายทั่วไปในบริเวณวัด ซึ่งเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเมืองพิษณุโลก เพื่อทอดพระเนตรการหล่อพระพุทธชินราชจำลอง และศาลาเล็กที่สร้างไว้เพื่อรับเสด็จ การพบกรุพระนางพญาดังกล่าว ได้มีการนำทูลเล้าฯ ถวาย ส่วนหนึ่งนำกลับไปที่กรุงเทพ แต่ยังเหลืออยู่ที่วัดอีกจำนวนมาก และใน พ.ศ. 2497 มีการพบกรุวัดนางพญาตรงซากปรักหักพังหน้ากุฏิสมภารถนอม เจ้าอาวาส ขณะขุดหลุมเสามีพระพิมพ์นางพญาจำนวนมาก แต่ผู้คนไม่ได้เก็บไปเป็นของตัวเอง ถูกทิ้งไว้ภายในวัดเหมือนเดิม แต่ภายหลังมีผู้คนเก็บไปเป็นสมบัติของตัวเองจนหมด เพราะเห็นเป็นพระเก่า  พระพิมพ์นางพญา เป็นพระเนื้อดินเผา มีชื่อเสียงโด่งดัง ซึ่งถูกจัดอยู่ในชุด “เบญจภาคี” พระนางพญากำเนิดที่ “วัดนางพญา” พิษณุโลกความจริงวัดนางพญาก็เป็นวัดที่มีพื้นที่ติดกับ “วัดราชบูรณะ ต่อมาภายหลังได้สร้างถนนมิตรภาพผ่ากลางเลยกลางทำให้วัดทั้งสองสองวัดแยกจากกัน   ส่วนการค้นพบพระนางพญาในยุคหลังประมาณ พ.ศ.2470 องค์พระเจดีย์ด้านตะวันออก ของวัดนางพญาได้พังลง เจ้าอาวาสในยุคนั้นคือ พระอธิการถนอม ได้ให้ชาวบ้าน และพระเณรช่วยกันขนเอาดิน และเศษอิฐ เศษปูน จากซากเจดีย์ล่มนั้นมาถมคูน้ำ ต่อมาอีกหลายปีกลายเป็นดงกล้วย เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2485 ชาวบ้านได้หนีภัยสงคราม เข้าไปหลบอยู่ในดงกล้วย และได้ทำการขุดหลุมหลบภัย จึงพบพระพญากระจายตัวจมอยู่ใต้พื้นดิน และการพบกรุพระนางพญาครั้งสุดท้ายพบที่วัดราชบูรณะ จังหวัดพิษณุโลก อีกครั้ง เมื่อมีการทำท่อระบายน้ำ ในบริเวณวัดประมาณปี พ.ศ.2532 จากข้อสันนิฐาน พระนางพญา ผู้ที่สร้างคือ “พระวิสุทธิกษัตรี” มเหสีของ “สมเด็จพระมหาธรรมราชา” ผู้ที่ได้สร้างหรือปฏิสังขรณ์วัดราชบูรณะ ซึ่งเป็นบริเวณที่พบพระนางพญานั่นเอง เข้าใจว่าการสร้างพระนางพญานั้นประมาณปี พ.ศ. 2090 – 2100 หรือประมาณสี่ร้อยกว่าปี พระนางพญา เป็นพระรูปทรงสามเหลี่ยมทุกพิมพ์นั่งมารวิชัยไม่ประทับบนอาสนะหรือมีฐานรองรับ รูปทรงงดงามแทบทุกพิมพ์โดยเฉพาะจะเน้นบริเวณอกที่ตั้งนูนเด่นและลำแขนทอดอ่อนช้อยคล้ายกับ “ผู้หญิง” จึงเรียกพระพิมพ์นี้ว่าพระพิมพ์ “นางพญา” อีกประการหนึ่งก็คือผู้ที่สร้างก็คือ “พระวิสุทธิกษัตรี” นั่นเอง   ลักษณะของพระนางพญา พระส่วนใหญ่จะมีเนื้อหยาบ ที่ละเอียดอ่อนจะมีน้อยกว่ามาก มีทั้งหมด 7 พิมพ์ด้วยกัน คือ 1. พิมพ์เข่าโค้ง ถือเป็นพิมพ์ใหญ่พิมพ์หนึ่ง 2. พิมพ์เข่าตรง ถือเป็นพิมพ์ใหญ่ โดยเฉพาะพิมพ์เข่าตรง แยกออกเป็น 2 พิมพ์ด้วยกัน คือ พิมพ์เข่าตรง “ธรรมดา” กับพิมพ์เข่าตรง “มือตกเข่า” แต่ทั้งสองพิมพ์ถือว่าอยู่ในความนิยมเหมือนกันทั้งคู่                                    3. พิมพ์อกนูนใหญ่ ถือเป็นพิมพ์ใหญ่ 4. พิมพ์สังฆาฏิ ถือเป็นพิมพ์กลาง 5. พิมพ์อกแฟบ (หรือพิมพ์เทวดา) ถือเป็นพิมพ์เล็ก 6. พิมพ์อกนูนเล็ก ถือเป็นพิมพ์เล็ก 7.พิมพ์พิเศษ เช่น พิมพ์เข่าบ่วง หรือพิมพ์ใหญ่พิเศษ   พระนางพญา ลักษณะของเนื้อจะเหมือนกันหมด ผิดกันแต่พิมพ์ทรงเท่านั้น ส่วนทางด้านพุทธคุณนั้นยอดเยี่ยมทางด้านเมตตามหานิยม และแคล้วคลาดเป็นเลิศ สมกับเป็นหนึ่งในห้าชุดของชุดเบญจภาคีนั้นเอง เป็นพระดินเผาที่มีเนื้อหยาบที่สุดในบรรดาพระเนื้อดินชุดเบญจภาคี อีกทั้งยังฝังจมดิน ซึ่งเป็นดินเหนียวริมน้ำเป็นเวลานานนับร้อยปี เนื้อพระจึงรักษาสภาพความแกร่งไว้ได้เป็นอย่างดี จุดเด่นของเนื้อพระนางพญา คือ มวลดินประเภทเม็ดทรายที่แทรกปนอยู่ในเนื้อเป็นจำนวนมากเรียกกันว่าเม็ดแร่ ขนาดสัณฐานของเม็ดทรายจะต้องใกล้เคียงกันทั่วองค์พระ เพราะเป็นเนื้อที่ผ่านการกรองมาแล้ว

ที่มา - http://www.phitsanulokhotnews.com/2013/08/30/42420

พระนางพญาเสน่ห์จันทน์

พระนางพญาเสน่ห์จันทน์ วัดศรีพิจิตรกิรติกัลยาราม (ชาวบ้านเรียกวัดตาเถรขึงหนัง) อารามร้างจังหวัดสุโขทัยนี้ได้สร้างกันมาตั้งแต่ พ.ศ. 1943 (สมัยสุโขทัยยุคปลาย) ส่วนพระเครื่องที่ขนานนามว่า "พระนางพญาเสน่ห์จันทน์" นั้นสร้างในปี พ.ศ. 1943 พระเครื่องในกรุนี้ถูกเปิดกรุเป็นทางการโดยกรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ. 2502 เป็นพระเนื้อดินผสมว่านและเกษรดอกไม้ทั้งหมดมี 4 สีคือ เหลือง, แดง, เขียว, ดำ พระเกือบทุกองค์จะมีคราบหินปูนเป็นฝ้าขาวเกาะติดแน่น ในด้านพระพุทธคุณนั้น ดีในด้านแคล้วคลาด,คงกระพัน ทั้งในด้านเมตตามหานิยมสมชื่ออีกด้วย พุทธศิลป์นั้นงดงามอ่อนช้อยงดงามมาก 







http://www.jeenlear.com/category.php?cgid=13&cid=188

พระสมเด็จนางพญา

พระสมเด็จนางพญา 
พระนางกำแพงองค์นี้พิจารณาง่ายมาก การย่นยุบของผิวและราลักขึ้นเกาะผิวเห็นทั่วทั้งองค์ ราลักแบบนี้ทำเลียนแบบกันไม่ได้ทำอย่างไรก็ไม่เหมือน ขึ้นชื่อว่าพระกำแพงแล้วชงัดนักเรื่องการทำมาหากิน เพราะเด่นในเรื่องโภคทรัพย์เงินทองของขาวเหลือง ได้มาคราวไปเยือนบ้านเพื่อนที่กำแพงเพชร องค์นี้นับเป็นพระที่จัดว่าพอไปได้ทีเดียวไม่ขี้เหร่เพราะพอเห็นหน้าตา ราคาเปิดไว้หลักหมื่นกลางๆนับว่าไม่แพงเลยสำหรับพระกำแพงนี่หายากมาก มีกำลังพอก็น่าเก็บเอาไว้บูชา องค์กำลังพอเหมาะสำหรับผู้หญิงใช้ นับเป็นของขวัญที่ล้ำค่าคู่ควรแก่การจดจำเพราะอายุของพระนี่หลายร้อยปีแล้ว กำเหนิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไท พระร่วงองค์ที่ห้าแห่งราชวงค์สุโขทัย เนื้อหามวลสารของพระก็เนื้อเดียวกับพระกำแพงซุ้มกอนั่นแหละ แล้วยังสร้างในครั้งเดียวกัน แต่ต่างพิมพ์กันเท่านั้น






















ประวัติพระนางพญาฉบับย่อ

พระนางพญา พิษณุโลก เป็นพระเนื้อดินที่มีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัดพิษณุโลก ถึงขั้นจัดอยู่ในชุดเบญจภาคี พระเครื่องชั้นยอด ซึ่งมีอยู่ องค์ด้วยกันคือ พระสมเด็จ พระรอดลำพูน พระนางพญาพิษณุโลก พระซุ้มกอกำแพงเพชร และพระผงสุพรรณ ซึ่งเป็นพระเครื่องสนนราคาหลักล้านจนถึงหลายล้านบาท ถ้าไม่ใช่เศรษฐีมีเงินทองเหลือใช้ก็ไม่มีโอกาสได้ไว้ครอบครอง
พระนางพญา มีกำเนิดอยู่วัดนางพญา จ.พิษณุโลก ซึ่งแต่ก่อนนั้น เป็นวัดเดียวกันกับวัดราชบูรณะ ต่อมาทางการได้ตัดถนนผ่านกลางพื้นที่วัด จึงถูกแบ่งออกเป็น วัด และสาเหตุที่ชื่อวัดนางพญา ก็เพราะค้นพบพระนางพญานี่เอง
วัดราชบูรณะ สร้างโดยพระมหาธรรมราชา ส่วนวัดนางพญา สร้างโดยพระวิสุทธิกษัตรี พระมเหสีของพระองค์ เมื่อสร้างวัดก็ได้จัดสร้างพระนางพญาขึ้นบรรจุไว้ในกรุเจดีย์ ตามความเชื่อและนิยมของคนในสมัยนั้น เพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนา และเพื่อเสริมสร้างบารมีให้แก่ผู้สร้าง ปีที่สร้างประมาณ พ.ศ. 2090-2100
พระนางพญา มีรูปลักษณ์ เหลี่ยม ประทับนั่งปางมารวิชัย ไม่มีฐานประทับ ถูกค้นพบครั้งแรกประมาณปี พ.ศ.2444 ครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสต้นถึงเมืองพิษณุโลก ทางจังหวัดได้เตรียมการต้อนรับเสด็จที่วัดนางพญา จึงมีการปรับพื้นที่และขุดหลุมเพื่อฝังเสาประรำพิธี จึงได้พบพระเป็นจำนวนมาก ทางเจ้าอาวาสและเจ้าเมือง จึงนำพระจำนวนหนึ่งขึ้นทูลเกล้าถวายแด่พระเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงแจกจ่ายแก่ประชาชน และข้าราชบริพารที่ตามเสด็จ ที่เหลือก็นำกลับกรุงเทพฯ
นอกจากค้นพบที่วัดนางพญาแล้ว ต่อมาก็พบอีกหลายวัด ล้วนแต่เป็นพระพิมพ์เดียวกัน เช่น กรุตาปาน พบบริเวณพื้นที่บ้านตาปาน ซึ่งน้ำมักท่วมขัง พระจึงเสียผิว มีเม็ดแร่ลอย จึงมักเรียกว่า กรุน้ำ
กรุวังหน้า (กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ได้จากเจ้าเมืองพิษณุโลก จึงบรรจุไว้ในที่อันสมควร ภายในพระราชวัง)
กรุวัดสังขจาย (กรุงเทพ ฯ) ปี พ.ศ.2479 พบที่พระเจดีย์องค์เล็ก วัดอินทรวิหาร (หลวงปู่โต เป็นผู้นำมาบรรจุไว้) และครั้งสุดท้าย ปี พ.ศ.2532พบที่กรุวัดราชบูรณะ พิษณุโลก
พระนางพญาเป็นพระเนื้อดินผสมว่านเกสรดอกไม้ 108 ชนิด ตลอดจนแร่กรวดทรายต่าง ๆ เมื่อกดพิมพ์และตากแห้งแล้วจึงนำไปเผา พระส่วนใหญ่เนื้อจะหยาบ ที่เป็นเนื้อละเอียดมีน้อย มีด้วยกัน พิมพ์คือ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง และพิมพ์เล็ก
แบ่งตามลักษณะพิมพ์ได้ดังนี้
กลุ่มพิมพ์ใหญ่  ประกอบด้วย พิมพ์เข่าโค้งพิมพ์เข่าตรง (ซึ่งมีด้วยกัน 2พิมพ์คือ พิมพ์เข่าตรงธรรมดา และพิมพ์มือตกเข่า) และพิมพ์อกนูนใหญ่
กลุ่มพิมพ์กลาง มีเฉพาะพิมพ์สังฆาฏิ
กลุ่มพิมพ์เล็ก มีพิมพ์เทวดา หรือพิมพ์อกแฟบ และพิมพ์อกนูนเล็ก
พิมพ์พิเศษ คือพิมพ์เข่าบ่วง อยู่ในกลุ่มพิมพ์ใหญ่ แต่พบน้อยมาก ไม่รู้จักแพร่หลายเหมือนพิมพ์อื่น ๆ


http://randoungdee.tarad.com/article?id=68724&lang=th

ประวัติการสร้าง พระนางพญา วัดนางพญา จังหวัดพิษณุโลก

ประวัติการสร้าง พระนางพญา วัดนางพญา จังหวัดพิษณุโลก


ในปี พ.ศ.๒๐๙๑ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิขึ้นครองราชย์ กองทัพพม่าซึ่งมีกำลังไพร่พลมากกว่าได้ขยายอาณาเขตเข้าตีเมืองมอญ ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับแดนไทย ไว้เป็นที่มั่น แล้วสั่งเกณฑ์กองทัพมาตั้งประชุมพลที่เมืองเมาะตะมะ พระเจ้าหงสาวดีได้เสด็จเป็นจอมทัพยกเข้ามารุกรานเมืองไทย หมายเอากรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองขึ้น ฝ่ายสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเมื่อทราบข่าวว่ากองทัพพระเจ้าหงสาวดียกเข้ามาประชิดกรุง เสด็จยกกองทัพหลวงออกไปหวังจะลองกำลังข้าศึกดูว่าจะหนักเบาเพียงใด โดยทรงพระคชาธาร สมเด็จพระสุริโยทัย พระอัครมเหสี ได้แต่งองค์เป็นชายอย่างพระมหาอุปราช ทรงคชาสาร ตามเสด็จไปด้วยพระราเมศวรและพระมหินทร์ ราชโอรสทั้งสอง กองทัพสมเด็จพระมหาจักรพรรดิออกไปปะทะกับกองทัพพระเจ้าแปร


รายละเอียดตำหนิพิมพ์ นางพญาพิมพ์อกนูนใหญ่

รายละเอียดตำหนิพิมพ์ พระนางพญาพิมพ์อกนูนใหญ่
    1.    เกศเหมือนปลีกล้วย แต่ค่อนข้างจะสั้น (เฉพาะแม่พิมพ์นี้)

    2.    กระจังหน้าด้านขวาพระโก่งขึ้น

    3.    หน้าผากด้านขวาพระใต้กระจังยุบต่ำลงเมื่อเทียบกับด้านซ้ายพระ
        หน้าผากด้านซ้ายพระช่วงริมจะมีเนื้อเชื่อมถึงกระจัง

    4.    หูด้านขวาพระทิ้งตรงปลายหูแตกเป็น 2 แฉก
        หูด้านซ้ายพระช่วงปลายด้านล่างจะงอน

    5.    รักแร้ถึงหัวไหล่ข้างซ้ายพระมีเนื้อที่แคบ ส่วนด้านขวาพระมีเนื้อที่กว้างกว่า

    6.    ถ้ากดแม่พิมพ์ติดชัด และไม่เขยื้อน ปลายมือซ้ายแตกเป็น 2 แฉก

    7.    แขนซ้ายพระช่วงข้อศอกถึงหัวไหล่ ช่างแกะแม่พิมพ์ขนาดแขนเท่า ๆ กัน แต่จะ          มีขนาดแขนเล็กกว่าข้างขวาพระ ซึ่งช่างจะแกะแม่พิมพ์ช่วงข้อศอกขวาพระเล็ก และค่อย ๆ ใหญ่ไปจนถึงหัวไหล่

    8.    มีเนื้อห้อยลงมาจากข้อศอกซ้ายพระ

    9.    ขาด้านในแกะแม่พิมพ์ต่ำมีจุดเว้าที่ขา 2 จุดตามลูกศรชี้ (เฉพาะแม่พิมพ์นี้)

nangpaya 02
ด้านหลัง
    1.    ขอบข้างของพระนางพญาทุกพิมพ์จะเป็นสันสูงขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเทียบกับตรงกลางแผ่นหลัง ถ้าเป็นแม่พิมพ์ใหญ่คือเข่าโค้ง, เข่าตรง, อกนูนใหญ่ยิ่งจะเห็นได้ชัดเจน
    2.    ส่วนแผ่นหลังตรงกลาง และทั่วบริเวณแผ่นหลังจะมีรอยคล้ายลายมือเต็มทั่วแผ่นหลัง สันนิษฐานว่าเป็นลายมือคนกดแม่พิมพ์ เพียงแต่กดย้ำไปย้ำมาทับไปทับมา จึงมองเห็นลายมือไม่ชัดเจน
    3.    ส่วนรอยสูง ๆ ต่ำ ๆ บนแผ่นหลัง เกิดจากการหดตัวของดินที่อยู่รอบ ๆ เม็ดกรวด ส่วนเม็ดกรวดไม่หดตัวจึงเกิดพื้นผิวที่แตกต่างกัน ข้อนี้เป็นอีกหนึ่งข้อพิจารณา ความมีอายุของเนื้อพระและพื้นผิวของพระได้เป็นอย่างดี

พระนางพญาพิมพ์อกนูนใหญ่

 วัดนางพญา จังหวัดพิษณุโลก เป็นวัดค่อนข้างเล็ก แต่ที่สำคัญเป็นต้นกำเนิดของพระนางพญา 1 ในเบญจภาคีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และเป็นที่เคารพนับถือของคนไทยทั้งประเทศ

    พระนางพญาเป็นพระที่อยู่ในกรุเจดีย์วัดนางพญา จังหวัดพิษณุโลก ภายหลังเจดีย์ได้ชำรุด และหักโค่นลงมาได้พบพระนางพญาและพระอื่น ๆ เป็นจำนวนมาก ต่อมาทางวัดได้รวบรวมบางส่วนไปบรรจุไว้ตามเจดีย์ต่าง ๆ เช่น เจดีย์วัดอินทรวิหาร, วัดสังกระจาย และบริเวณใกล้เคียงเพื่อเป็นการสืบทอดพุทธศาสนามาจนถึงทุกวันนี้

    พระนางพญาแบ่งออกเป็น 2 ขนาด คือพิมพ์ใหญ่ และพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่ ได้แก่ นางพญาพิมพ์เข่าโค้ง, นางพญาพิมพ์เข่าตรง, นางพญาพิมพ์เข่าตรง (มือตกเข่า) และนางพญาพิมพ์อกนูนใหญ่  พิมพ์เล็ก ได้แก่ นางพญาพิมพ์สังฆาฏิ, นางพญาพิมพ์เทวดา, นางพญาพิมพ์อกนูนเล็ก

    วันนี้ผู้เขียนขอบรรยาย นางพญาพิมพ์อกนูนใหญ่ ซึ่งเป็นพระที่มีค่อนข้างน้อย ขนาดหาชมจากรูปภาพยังหาชมได้ยากเลย และในวงการพระก็มีหมุนเวียนอยู่ไม่กี่องค์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นองค์หน้าเดิมทั้งสิ้น ใครมีก็ต่างหวงแหนเมื่อเทียบกับนางพญาพิมพ์อื่น ๆ แล้ว นางพญาพิมพ์อกนูนใหญ่มีน้อยมากและหายากที่สุด

    สำหรับขนาดของนางพญาพิมพ์อกนูนใหญ่ (วัดจากตัวจริง) ขนาดความสูง ประมาณ 3.4 เซนติเมตร ขนาดฐานกว้าง ประมาณ 2.4 เซนติเมตร

แม่พิมพ์พระนางพญา
    แม่พิมพ์ของพระนางพญาทุกพิมพ์ สันนิษฐานว่าแกะจากไม้ และน่าจะเป็นไม้มงคล เช่น ไม้สัก เมื่อแกะแม่พิมพ์ไม้เสร็จแล้ว ก็นำไปกดในดินเหนียว เราก็จะได้แม่พิมพ์ดิน ซึ่งเป็นแอ่งตามรูปของพระนางพญา แล้วนำแม่พิมพ์ไปตากให้แห้ง แล้วนำไปเผา เราก็จะได้แม่พิมพ์ พระนางพญาที่เป็นดินเผา แล้วนำดินที่จะทำพระนางพญาไปกดในแม่พิมพ์ดินเผา เราก็จะได้พระนางพญาที่ยังเปียกอยู่นำไปตากให้แห้ง แล้วนำไปเผา เราก็จะได้พระนางพญาตามต้องการ

การตัดขอบข้าง
    นางพญาทุกพิมพ์ส่วนใหญ่รอยตัดข้างจะเฉียง ส่วนตัดตรง ๆ ลงมาก็มีบ้างเล็กน้อย และรอยตัดทางซ้ายและทางขวาจะเฉียงตรงข้ามกัน สันนิษฐานว่าการตัด ตัดจากด้านหน้าแล้วไถเฉือนขึ้นบนเล็กน้อย ถ้าคนถนัดขวาจะตัดด้านซ้ายมือของพระก่อนแล้วหมุนหัวพระลงในลักษณะตั้งฉาก แล้วตัดด้านขวาของพระ (มันถึงจะเฉียงตรงข้ามกัน) ส่วนด้านฐาน ก็หมุนหัวเข่าขวาพระลงในลักษณะตั้งฉาก แล้วค่อยตัด ส่วนคนถนัดซ้าย ก็ทำตรงกันข้าม ส่วนรอยครูดเกิดจากการตัดไปโดนเม็ดกรวดทราย ครูดไปในทิศทางการตัด

ดิน, ความเปลี่ยนแปลงของสีดิน, การเผา
    ดินที่นำมากดพระนางพญา สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นดินภายในจังหวัดพิษณุโลก เป็นดินค่อนข้างหยาบ และมีเม็ดกรวดปะปนบ้าง ส่วนดินเนื้อละเอียดก็มีบ้าง ส่วนความเปลี่ยนแปลงของ    สีดินขึ้นอยู่กับการเผาและชนิดของดิน แร่ธาตุต่าง ๆ ในดิน และอุณหภูมิการเผา จึงทำให้           พระนางพญามีสีแตกต่างกัน เช่น
    สีดำ เกิดจากการเผาไม่ทั่วถึง หรืออุณหภูมิความร้อนต่ำหรือยังไม่สุกดี
    สีแดง เกิดจากการเผาด้วยอุณหภูมิความร้อนพอดีและคงที่สม่ำเสมอ
    สีเขียว เกิดจากการเผาด้วยอุณหภูมิความร้อนสูง และเป็นเวลานาน

    สุดท้าย ในการศึกษาพระเครื่องแต่ละอย่าง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแม่พิมพ์ รองลงมาก็คือ เนื้อพระ, สภาพผิวพระ, การหดตัว, การตัดขอบพระอื่น ๆ อีกมากมาย ส่วนผู้เขียนอยากจะแนะนำให้ทุก ๆ ท่าน ศึกษาจากพระแท้ ดูบ่อย ๆ หลาย ๆ สภาพ ถ้าเป็นพระราคาสูงให้ดูจากรูปถ่าย หารูป   พระค่อนข้างสวยมาเปรียบเทียบ สัก 2-3 ภาพ และพยายามค้นหาจุด “ตำหนิลับเฉพาะ” ที่เป็นของตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากตำราทั้งหลาย วันนี้ ผู้เขียนจะชี้ตำหนิ นางพญาอกนูนใหญ่ให้ดูก่อน

นางพญาพิมพ์อกนูนใหญ่
nangpaya 01


พระนางพญาพิมพ์เล็กกรุวังวารี


พระนางพญาพิมพ์เล็กกรุวังวารี
ต้องขอกราบสวัสดีมิตรรักแฟนเพลง (5555+) ที่ร่วมติดตามศึกษาพระกรุวังวารี เรื่องราวตั้งแต่ตอนต้นที่ผมเขียนมาถึง ณ ขณะนี้นั้นได้รับความเมตตาอย่างสูงจากท่านที่ผมเรียกว่าเป็นอาจารย์ เป็นทั้งผู้ที่แนะนำให้ผมได้รู้จักพระกรุที่มากด้วยพุทธคุณกรุนี้ และเป็นผู้ให้ความรู้ทั้งหมดทั้งมวลที่สามารถทำให้ผมนำมาเรียบเรียงให้ทุกท่านได้อ่านกัน รวมถึงภาพบางส่วนที่ผมใช้ในกระทู้นี้มาจากความเมตตาที่ท่านอนุญาติให้ถ่ายภาพนำมาลง ผมพยายามขออนุญาติท่านอาจารย์เอ่ยชื่อเสียงเรียงนามของท่านอาจารย์ทั้งสองแต่ด้วยความที่ท่านเป็นคนสมถะไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน ท่านจึงไม่อยากให้เอ่ยชื่อของท่าน และด้วยความเคารพต่อครูบาอาจารย์ อยากจะให้ชื่อของท่านได้เป็นที่รู้จักบ้างเพราะความรู้ที่เขียนนั้นไม่ได้มาจากผมผู้เดียว จึงได้แสดงเจตนารมณ์ต่อท่านอีกครั้ง หนึ่งในสองท่านจึงยอมให้เปิดเผยชื่อของท่านไว้ในที่นี้ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะเขียนเรื่องราวต่อไปจึงขอกล่าวคำขอบคุณในความเมตตาของท่านทั้งสองไว้ ณ ที่นี้ เป็นอย่างสูง ท่านแรกนั้นเป็นพี่ชายของผมเอง ท่านชื่อ "พี่ศิริชัย" และอีกท่านที่ไม่ขอแสดงตัว ขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาของท่านเป็นอย่างสูงครับ 

และต้องกราบขออภัยเพื่อนๆทุกท่านที่ติดตามเพราะสัญญาไว้ว่าคราวนี้จะมาเขียนเรื่องพระปางลีลา แต่ด้วยเรื่องนี้ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญสมควรเขียนไว้ก่อนเพื่อจะได้เข้าใจพระกรุนี้มากขึ้นครับ เริ่มแรกเดิมทีนั้นพระนางพญากรุวังวารีที่ผมพบจะมีแค่พิมพ์ใหญ่ สำหรับท่านที่เข้ามาติดตามอ่านตั้งแต่ตอนแรกจะเห็นผมพูดถึงพระนางพญากรุนี้เฉพาะพิมพ์ใหญ่ ซึ่งตัวผมเองตั้งข้อสันนิษฐานไว้นานแล้วว่า ถ้าจากข้อมูลประวัติพระกรุวังวารีนี้พูดถึงการนำพระที่บรรจุในกรุวัดนางพญามาเข้ากรุวัดวังวารี นั่นคือเริ่มแรกของการสร้างพระนางพญานั้นพระวิสุทธิกษัตรีย์ พระ มเหสีของพระมหาธรรมราชา และทรงเป็นพระราชมารดาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ทรงสร้างพระนางพญาขึ้นในคราวบูรณะปฏิสังขรณ์วัดราชบูรณะ ราวปี พ.ศ. 2090 - 2100 ขณะนั้นพิษณุโลกเป็นเมืองลูกหลวง และพระองค์ดำรงพระอิสริยยศเป็นแม่เมืองสองแคว และพระมหาธรรมราชาทรงพระอิสริยยศเป็นพระอุปราชแห่งแผ่นดิน พระมหาจักรพรรดิ กรุงศรีอยุธยา และได้นำพระเหล่านี้ไปบรรจุไว้ในกรุวัดต่างๆ ซึ่งวัดแรกที่พบการแตกกรุคือวัดนางพญา พระนางพญาที่พระวิสุทธิกษัตรีย์ สร้างนี้ถือเป็นยุคแรกของการสร้างพระนางพญา ยุคนี้พระนางพญาพิมพ์จะไม่สวยงาม เพราะใช้ชช่างชาวบ้าน ต่อมาในระยะเวลาที่ใกล้กันหลังจากองค์สมเด็จพระนเรศวรทรงประกาศอิสรภาพ
เป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยาแล้วจึงทรงสร้างพระนางพญาขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ใช้ช่างหลวงพิมพ์ทรงของพระนางพญาจึงมีความสวยงามเป็นอย่างมาก (รายละเอียดตรงนี้นั้นมีอยู่มากตามอินเตอร์เน๊ตขอให้ท่านที่สนใจศึกษาเพิ่มเติมได้ครับ) ถ้าเปรียบเทียบอายุของพระกรุวังวารีที่วัดคาร์บอน-14 แล้วพบว่ามีช่วงอายุระหว่าง 300-500 ปี น่าจะเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการสร้างพระนางพญาเพื่อบรรจุกรุ ข้อนี้ถูกตอบอย่างชัดเจนอยู่แล้ว แต่อีกข้อหนึ่งผมคิดว่าจะต้องมีพิมพ์พระนางพญาจากกรุนางพญาอยู่ในกรุวังวารีนี้ด้วยไม่มากก็น้อย แต่จนแล้วจนเล่าผมก็ไม่พบพิมพ์พระนางพญากรุนางพญาจากกรุวังวารีเลย ในใจนั้นก็ยังคิดว่าต้องมี แค่มีน้อยจนเรายังไม่พบ เพราะการแบ่งบรรจุกรุสมัยนั้นทางฝั่งวัดวังวารีอาจจะได้พิมพ์ที่พบเยอะนี้มามาก (หมายถึงพระนางพญาพิมพ์ใหญ่) และแล้ววันนี้สิ่งที่ผมคิดไว้ก็ได้ข้อสรุป และผมจะขอเล่าตั้งแต่วินาทีแรกที่เริ่มแก้ข้อสงสัยของผมได้เลยนะครับ เริ่มจากการที่ผมได้มีโอกาสล้างไหขนาดกลางใบหนึ่ง หลังจากเตรียมอุปกรณ์การล้างจนครบถ้วนบริบูรณ์ ตั้งสมาธิจุดธูปเทียนบวงสรวงเทวา เจ้าที่ และเทวดาประจำไห จากนั้นจึงทำการล้างไห






หลักจากที่ได้พระนางพญาองค์แรกที่หลุดออกจากไห ขนาดไม่คุ้นมือ พยายามมองแต่มองไม่ค่อยชัดเพราะยังมีเศษดินทรายติดอยู่มาก จึงได้นำไปปัดให้สะอาดขึ้น และผมก็พบกับพิมพ์ทรงที่คุ้นเคยของพระนางพญากรุนางพญา ทั้งขนาด เนื้อหามวลสาร และพิมพ์ทรงตรงกันเป๊ะ วินาทีนั้นทำให้ผมหมดข้อสงสัยที่ครุ่นคิดมานาน และช่วยยืนยันประวัติพระกรุนี้ที่กล่าวว่าพระที่บรรจุในกรุนั้นเป็นต้นทางเดียวกันกับกรุนางพญา



จากนั้นก็ทำการตั้งสมาธิดำเนินการล้างไหไปเรื่อยๆ พบว่าไหขนาดกลางใบนี้มีพระนางพญาพิมพ์ทรงเดียวกันกับพระนางพญากรุนางพญาอยู่จำนวนหนึ่ง มีพระซุ้มกออยู่ในปริมาณมาก และมีพระนางพญาที่มีลักษณะเด่นของกรุวังวารีอยู่จำนวนน้อย 



ดังนั้นเพื่อให้ง่ายต่อการเขียนในคราวต่อไปผมขออนุญาติจัดพิมพ์ของพระนางพญากรุวังวารีไว้เท่าที่ผมเคยเห็นเป็นสองพิมพ์หลักดังนี้ พิมพ์ใหญ่ (เป็นพิมพ์ที่ผมเคยกล่าวไปแล้วครับ ตามอ่านกันได้) ขนาดโดยประมาณสูง 3.5 ซม. ความกว้างของฐาน 2.5 ซม. และหนา 1.3 ซม. แบ่งเป็นพิมพ์เข่าโค้ง และพิมพ์เข่าตรง พิมพ์เล็ก (เนื้อหาและพิมพ์ทรงเหมือนกับกรุนางพญา) ขนาดโดยประมาณสูง 3.5 ซม. ความกว้างของฐาน 2.4 ซม. และหนา 0.6 ซม. แบ่งเป็นพิมพ์เข่าโค้ง และพิมพ์เข่าตรง เช่นเดียวกัน แต่ขอติดประเด็นตรงนี้ไว้นิดนึงครับ สำหรับพระนางพญาพิมพ์เล็กนั้นผมแบ่งไว้เท่าที่ผมพบ แต่ข้อสันนิษฐานของผมต่อไปคืออาจจะมีพิมพ์มากกว่านี้ซึ่งอาจจะพบได้ตามจำนวนพิมพ์ทั้ง 7 พิมพ์ของพระนางพญากรุนางพญาเลยก็อาจเป็นได้ เนื้อหาที่เพิ่มเข้ามานี้ทำให้ผมต้องนั่งแก้ไขบางช่วงบางตอนของข้อความที่เคยลงไว้ตั้งแต่คราแรกๆ แต่ต่อจากนี้ผมอาจจะเขียนไปเรื่อยๆรู้อะไรเพิ่มเติมก็จะเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆเพราะไหของกรุนี้นั้นยังมีการแกะไม่มาก ไม่มีการเพิ่มเติมในส่วนแรกที่เขียนอีก แต่อาจจะมีบางกระทู้ที่เขียนสรุป เพื่ออัปเดทข้อมูลทั้งหมดจะยังคงมีการแก้ไขให้เป็นปัจจุบัน เช่น กระทู้สรุปพระที่พบในกรุวังวารี ที่ตั้งใจจะเขียนไว้ต่อไป ผมจึงถือโอกาสบอกกล่าวกันไว้ตรงนี้ก่อนเลยนะครับ





เอาละครับเรามาพิจารณาลักษณะของไหกลางใบนี้กันก่อนที่จะไปเน้นรายละเอียดของพระนางพญาพิมพ์เล็กกันครับ ไหนี้ล้างออกมาแล้วมีสีดำดูขลังมาก ลักษณะด้านบนฝาไหเอียงไปค่อนข้างมาก ลวดลายของไหมีความละเอียดอ่อนทั้งที่เป็นลายบนฝาไห ข้างฝาไห ลายดอกไม้ข้างไห และพญานาคทั้งสี่ตนที่คอยคุ้มครองไหมีลวยลายเกร็ด ฟัน หน้าตาที่ชัดเจนชวนมอง ไหนี้ถ้าใช้ในการทำน้ำมนต์ในพิธีต่างๆจะสักดิ์สิทธิ์มาก อันนี้มีผู้รู้ท่านหนึ่งบอกมา ที่จริงทั้งน้ำล้างไห ทั้งดินล้างออก ถือว่ามีพุทธคุณสูงเช่นกัน ผมก็เลยเก็บหมดครับ เอาไว้เป็นมวลสารสำหรับงานบุญที่มีโอกาสได้ร่วมบุญต่อไป ไหกลางใบนี้ได้พระมาจำนวน 55 องค์ แบ่งเป็นพระพุทธชินราช (สวยงามมากๆๆๆๆ) 1 องค์ ไหนี้พิเศษได้พระปางลีลามา 1 องค์ ซึ่งปกติจะพบในฝาไหของไหแจกัญ ได้พระซุ้มกอมา 17 องค์ พระนางพญาพิมพ์ใหญ่เข้าโค้ง 2 องค์ พระนางพญาพิมพ์เล็กเข่าโค้ง 23 องค์ พิมพ์เล็กเข่าตรงอีก 11 องค์ เรียกได้ว่าคุณภาพคับแก้วกันเลยทีเดียว 





ทีนี้เราก็มาเข้าเรื่องว่าด้วยลักษณะพิมพ์ทรง เนื้อหาของพระนางพญาพิมพ์เล็กของกรุวังวารี อย่างที่ว่ามาครับทั้งเนื้อหาทั้งพิมพ์ทรงของพิมพ์เล็กนี้เหมือนกับพระนางพญากรุนางพญาใช้เทียบเคยงกันได้เลย โดยเนื้อหาเป็นพระเนื้อดินผสมว่านและเกสรดอกไม้ มีเม็ดแร่ผสมอยู่แต่เม็ดแร่มีปริมาณน้อยกว่าพิมพ์ใหญ่ ทำให้พิมพ์เล็กมีเนื้อที่หยาบก็จริง แต่จะหยาบน้อยกว่าพิมพ์ใหญ่ จะสังเกตุความแตกต่างได้ง่ายหากพิจารณาจากด้านหลัง พระส่วนใหญ่จะมีเนื้อผสมว่านน้อยหรืออาจจะไม่มี และด้านหลังของพิมพ์เล็กจะปรากฎรอยนิ้วมือชัดเจนมากกว่าพิมพ์ใหญ่ที่จะปรากฎลักษณะของเม็ดแร่ให้เห็นชัดเจน (สำหรับรายละเอียดพิมพ์ใหญ่ไปตามอ่านกันได้ตามสารบัญนะครับ) เรื่องของเนื้อหามวลสารของพระนางพญานี้ผมว่าจะหาเลาเขียนโดยละเอียดอีกทีอย่าลืมติดตามกันนะครับ ลักษณะของพระนางพญาพิมพ์เล็กจะค่อนข้างบางและเพรียวกว่าพิมพ์ใหญ่ที่จะมีลักษณะองค์พระโดยรวมอวบอิ่มกว่า







พิมพ์ทรงของพิมพ์เล็กนั้นจะขออธิบายในส่วนของพิมพ์เล็กเข่าโค้ง และเข่าตรง ซึ่งเป็นพิมพ์ที่ผมเคยพบเห็นเท่านั้นครับ เริ่มจากส่วนบนพระเกศจะมีปลายเรียวแหลม (1) มุมของชฎาที่สวมกับพระเศียรมีการหักมุมเป็นเหลี่ยม (2) ปลายชฎาทั้งสองข้างจรดไหล่ (3) พระพักตร์กลมเรียวส่วนคางจะเรียวเล็กกว่าพิมพ์ใหญ่จนสังเกตุได้ง่าย พระกรรณ (หู) ฝั่งขวาถ้ามองเห็นจะเห็นว่ายาวมาถึงไหล่ (4) พระกรรณซ้ายจะยาวจรดพระอังสะ และเชื่อมต่อกับเส้นสังฆาฏิ (5) พระอุระ (อก) ดูนูนผึ่งผายแต่ไม่ใหญ่เท่าพิมพ์ใหญ่ และค่อยๆเรียวเล็กลงจนถึงพระอุทร (ท้อง) ตรงพระอุทรสังเกตุว่าจะมีพุงนิดๆ บริเวณวงพระพาหา (แขน) จะมนกว่าพิมพ์ใหญ่ที่แหลมคมชัด (6) และวงพระพาหา (แขน) ฝั่งขวาขององค์จะกว้างกว่าฝั่งซ้าย (7) พระกัประซ้าย (ข้อศอก) หักเป็นมุมชัดเจน (8) พระหัตถ์ซ้ายเรียวและค่อยๆเล็กลงจนแหลมบริเวณปลาย สุดที่ปลายลำตัวพอดี (9) ปลายพระหัตถ์ขวาวางอยู่บนหัวเข่าขวาปรากฏนิ้วมือยื่นลงไปด้านล่างใต่้เข่า (10) พระเพลาข้างขวา (ขา) จะเรียวเล็กกว่าข้างซ้าย (11) จะโค้งได้รูปในพิมพ์เข่าโค้ง และจะตัดตรงในพิมพ์เข่าตรง 







ตำหนิของ พระนางพญา พิมพ์เข่าตรง (มือตกเข่า)

ตำหนิของ พระนางพญา พิมพ์เข่าตรง (มือตกเข่า) ที่สามารถสังเกตได้ชัดเจนดังนี้พระนางพญาพิมพ์เข่าตรงมือตกเข่า
- พระเกศ คล้ายปลีกล้วย
- พระนลาฏ ด้านซ้ายจะบุบมากกว่าด้านขวา และปรากฏเส้นกระจังหน้าติดกับพระเกศ ระหว่างเส้นกระจังหน้ากับหน้า-ผาก มีลายเส้นวิ่งขวางหน้าผาก 6 เส้น- พระกรรณ ปลายหูซ้ายจะเชื่อมติดเป็นเส้นเดียวกับเส้นสังฆาฏิ ส่วนปลายหูขวาจะแตกเป็นหางแซงแซว- เส้นอังสะ วิ่งเป็นเส้นตรงผิดกับพิมพ์เข่าตรง (ธรรมดา) และจะวิ่งชอนเข้าไปใต้รักแร้- พระอุระ มีกล้ามเนื้อนูน สีข้างดูคล่้ายมีเนื้อมาพอกไว้- พระหัตถ์ ปลายพระหัตถ์ขวาวางอยู่บนหัวเข่าขวาปรากฏนิ้วมือยื่นลงไปด้านล่างใต่้เข่า เป็นเอกลักษณ์ของพิมพ์- พระบาท บริเวณปลายพระบาทซ้ายปรากฏเส้นแตกของแม่พิมพ์เห็นได้ชัด
ในอดีตมีผู้ท้วงติงและสงสัยกันว่า พระนางพญา พิมพ์เข่าตรงมือตกเข่า น่าจะเป็นพระวัดโพธิญาณ หรือพระกรุโรงทอมากกว่าของวัดนางพญา เพราะมีส่วนคล้ายคลึงกับ พระนางพญากรุโรงทอ แต่ปัจจุบันนี้ปัญหาดังกล่าวตก ไป และมีการคลี่คลายปัญหาด้านพุทธศิลป์และพิมพ์ทรง ยอมรับเป็นสากลแล้วว่า พระนางพญา พิมพ์เข่าตรงมือตกเข่า เป็นพระของ กรุวัดนางพญาอย่างแน่นอน
พระสมเด็จนางพญา พิษณุโลก พระนางพญาไม่ว่าพิมพ์ไหน ลักษณะของเนื้อจะเหมือนกันหมด ผิดกันแต่พิมพ์ทรงเท่านั้น ราคาพระเครื่องของพระนางพญาก็อยู่ที่หลักแสนจนถึงหลักล้านราคาพระเครื่องอยู่ที่ผู้ซื้อและผู้ขาย ส่วนทางด้านพุทธคุณนั้นยอดเยี่ยมทางด้านเมตตามหานิยม และแคล้วคลาดเป็นเลิศ สมกับเป็นหนึ่งใน 5 ของชุดเบญจภาคีนั้นเอง ต่อมาได้มีการขุดพบพระนางพญาอีกหลายครั้ง และอีกหลายกรุ เช่นในปี พ.ศ. 2487 ก็มีการขุดพบพระนางพญาอีกที่วัดนางพญา และยังพบพระนางพญาที่วัดราชบูรณะอีกด้วย นอกจากนี้ยังพบที่วัดอินทราราม กทม. วัดเลียบ(ราชบูรณะ) กทม. วังหน้าพบที่พระราชวังบวรมงคล ที่วัดสังกัจจายน์ ฝั่งธนฯ และในปี พ.ศ. 2532 ยังพบอีกครั้งที่วัดราชบูรณะ พิษณุโลกอีกด้วย บทความพระเครื่อง พระนางพญาพิษณุโลก มีด้วยกันหลายพิมพ์ดังที่กล่าวมาเช่น พระเครื่องนางพญา พิมพ์เข่าโค้ง พิมพ์เข่าตรง พิมพ์เข่าตรงมือตกเข่า พิมพ์อกนูนใหญ่ พิมพ์สังฆาฏิ พิมพ์เทวดาหรือที่โบราณเรียกว่าพิมพ์อกแฟบ และพิมพ์อกนูนเล็ก ในวันนี้ผมได้นำพระนางพญาพิมพ์อกนูนใหญ่ ซึ่งเป็นพระนางพญา กรุวัดนางพญาที่พบเห็นไม่ค่อยบ่อยนักมาให้ชมกันทั้งด้านหน้าและด้านหลังครับ ด้วยความจริงใจ แทน ท่าพระจันทร์


ตำหนิของ พระนางพญา พิมพ์เข่าตรง (ธรรมดา)

ตำหนิของ พระนางพญา พิมพ์เข่าตรง (ธรรมดา) ที่สามารถสังเกตได้ชัดเจนดังนี้
พระเกศ คล้ายปลีกล้วย
พระนลาฏ ด้านซ้ายจะบุบมากกว่าด้านขวา และปรากฏกระจังหน้าชัดเจน
พระกรรณ ปลายหูซ้ายจะเชื่อมติดกับเส้นสังฆาฏิ ส่วนปลายหูขวาจะแตกเป็นหางแซงแซว
พระหัตถ์ ปลายพระหัตถ์ซ้ายจะแหลมและแตกเป็นหางแซงแซว ส่วนพระหัตถ์ขวาจะไม่ปรากฏนิ้วมือ
พระนางพญาพิมพ์เข่าตรงมือตกเข่า
พระนางพญาพิมพ์เข่าตรงมือตกเข่า

ตำหนิพระนางพญา พิมพ์เข่าตรง

ตำหนิพระนางพญา พิมพ์เข่าตรง
พระเกศ เป็นแบบเกศปลี โคนใหญ่ ปลายเรียว กระจังหน้าจะยุบเล็กน้อยพระพักตร์ เป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูลบมุมทั้งสี่ด้าน พระส่วนใหญ่จะเรียบร้อยไม่มีหน้าไม่มีตา แต่เฉพาะพระที่ติดพิมพ์ชัดเจนจะปรากฏรายละเอียดของ พระเนตร พระนาสิกและพระโอษฐ์ ถึงจะเป็นตาตุ่ยๆ แต่จะโปนมากกว่า
พระนลาฏ หน้าผากจะบุบเล็กน้อย มองเห็นไรพระศกด้านบนเด่นชัด
ไรพระศก โดยมากจะสังเกตลีลาการทอดไรพระศกกับพระกรรณเป็นสำคัญ ส่วนมากไรพระศกจะเป็นเส้นเล็กมีความคมชัดมาก วาดตามกรอบพระพักตร์ลงมาจรดพระอังสะทั้ง 2 ด้าน
พระกรรณ เป็นเส้นสลวยสวยงามมาก ตอนกลางของพระกรรณทั้งสองจะมีลักษณะอ่อนน้อยๆ เข้าหาพระศอ พระกรรณซ้ายจะยาวจรดพระอังสะ และเชื่อมต่อกับเส้นสังฆาฏิ
พระอังสะ และ พระรากขวัญ จะต่อกันเป็นแนวย้อยแบบท้องกระทะ แสดงไหล่ที่ยกสูงทั้งสองด้าน ระหว่างแนวซอกช่อง ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นเสี้ยนเล็กๆ ขนานกันไป รอยดังกล่าวมักปรากฏตามซอกอื่นๆ อีกด้วย
พระอุระ นูนเด่นชัดมาก พระถันเป็นเต้านูนขึ้นมา โดยเฉพาะพระถันขวารับกับขอบจีวรซึ่งรัดจนเต้าพระถันนูนขึ้นมา ส่วนพระถันซ้ายมีเส้นสังฆาฏิห่มทับอยู่
พระอุทร นูนเด่นชัด ปรากฏพระนาภีเป็นรูเล็กเท่าปลายเข็มหมุด เหนือพระนาภีปรากฏกล้ามท้องเป็นลอนรวม 3 ลอน
พระพาหา แขนขวากางมากกว่าแขนซ้าย ปล่อยยาวลงมาจรดพระชงฆ์ พระพาหาซ้ายตรงรับกับส่วนองค์ และจะหักพระกัประแล้วทอดไปตามพระเพลา มีขนาดเล็กเรียวกว่าช่วงบน ทำการโค้งขึ้นงดงามมาก ปลายพระหัตถ์สุดที่บั้นพระองค์
พระเพลา เป็นเส้นตรงแบบสมาธิราบ โดยเฉพาะพระเพลาขวาเป็นเส้นตรงขนานกับรอยตัดกรอบด้านล่าง ทำให้เห็นว่าแข้งซ้อนห่างกันอย่างเด่นชัด
บรรดาพิมพ์ทรงของ พระนางพญา กรุวัดนางพญาทั้ง 7 พิมพ์ มีเพียง พิมพ์เข่าตรง เท่านั้น ที่ปรากฏว่ามีแม่พิมพ์อยู่ถึง 2 แบบ คือ พิมพ์เข่าตรง (ธรรมดา) และพิมพ์เข่าตรง (มือตกเข่า) ซึ่งแม่พิมพ์ทั้ง 2 แบบนี้ มีเอกลักษณ์และรายละเอียดตำหนิของแม่พิมพ์แตกต่างกัน สามารถพิจารณาได้ดังนี้
พระนางพญาพิมพ์เข่าตรง
พระนางพญาพิมพ์เข่าตรง


พระนางพญา กรุวัดนางพญา จ.พิษณุโลก

พระนางพญา กรุวัดนางพญา จ.พิษณุโลก
พระนางพญา กรุวัดนางพญา จ.พิษณุโลก
พระนางพญา พิมพ์อกนูนใหญ่ กรุวัดนางพญา พิษณุโลกมาให้ชมกัน พระนางพญา พิมพ์นี้ไม่ค่อยได้พบเห็นกันบ่อยนัก คาดว่าน่าจะมีจำนวนพระน้อยกว่าพระพิมพ์อื่นๆ ก็เป็นได้ จึงไม่ค่อยได้พบเห็นพระพิมพ์นี้กันบ่อยนัก และพระพิมพ์นี้ก็เป็นพระเครื่องที่มีขนาดใกล้เคียงกับพระนางพญาพิมพ์เข่าโค้งและ พิมพ์เข่าตรง
ประวัติพระนางพญา พระสมเด็จนางพญา พิษณุโลก
ก่อนอื่นก็จะพูดถึงวัดนางพญาเสียก่อน วัดนางพญานี้เป็นวัดเก่าแก่ ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา วัดนี้ตั้งอยู่ติดกับวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ และวัดราชบูรณะ แต่เดิมวัดนางพญาและวัดราชบูรณะมีอาณาเขตติดต่อกัน แต่พอมีการสร้างสะพานสมเด็จพระนเรศวรและสร้างถนนตัดผ่าน จึงแยกวัดนางพญาและวัดราชบูรณะอยู่กันคนละฝั่งถนน วัดนางพญาจึงเหลืออาณาเขตเล็กๆ เท่านั้น การได้ชื่อว่า “วัดนางพญา”ชื่อของ พระนางพญา น่าจะมาจากสถานที่ที่ค้นพบนั่นเอง วัดนางพญานี้สันนิษฐานว่า ผู้สร้างพระนางพญาคือ พระวิสุทธิกษัตรีย์ พระ มเหสีของพระมหาธรรมราชา และทรงเป็นพระราชมารดาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ทรงสร้างพระนางพญาขึ้นในคราวบูรณะปฏิสังขรณ์วัดราชบูรณะ ราวปี พ.ศ. 2090 - 2100 ขณะนั้นพิษณุโลกเป็นเมืองลูกหลวง และพระองค์ดำรงพระอิสริยยศเป็นแม่เมืองสองแคว และพระมหาธรรมราชาทรงพระอิสริยยศที่ พระอุปราช แห่งแผ่นดินพระมหาจักรพรรดิ กรุงศรีอยุธยา
พระนางพญา พิมพ์อกนูนใหญ่ กรุวัดนางพญา
พระนางพญา พิมพ์อกนูนใหญ่ กรุวัดนางพญา
พระนางพญา ได้รับอิทธิพลทางพุทธศิลปะมาจากสกุลช่างสุโขทัยในพระราชสำนักโดยตรง ด้วยเมืองพิษณุโลกและสุโขทัยมีความใกล้ชิดกันมาตั้งแต่ราชวงศ์พระร่วงเป็น ใหญ่ในดินแดนภาคเหนือ พิมพ์ทรงของพระนางพญา เด่นชัดมากหากเปรียบเทียบกับพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย ในเรื่องสัดส่วน ทรวดทรง ศิลปะ อาจกล่าวได้ว่า การสร้างพระนางพญาเป็นการสืบสานศิลปะสุโขทัยบริสุทธิ์ในรูปพระเครื่องที่ ชัดเจนไม่บิดเบือน
ประวัติพระนางพญา พระนางพญา เป็นพระพุทธปฏิมาแบบนูนต่ำในรูปทรงสามเหลี่ยม ประทับนั่งปางมารวิชัย ไม่มีอาสนะหรือฐานรองรับ ทรวดทรงองค์เอวอ่อนหวานละมุนละไมและงามสง่าในที พระเครื่องนางพญา การแตกกรุของ พระเครื่องนางพญาก็คือเมื่อตอนปี พ.ศ. 2444 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเสด็จประพาสเมืองพิษณุโลก เพื่อทรงทอดพระเนตรการหล่อพระพุทธชินราชจำลอง และทรงได้เสด็จประพาสวัดนางพญาด้วย สันนิษฐานว่าทางวัดนางพญาก็คงพัฒนาปรับปรุงเคหสถานเพื่อเตรียมรับเสด็จพระพุทธเจ้าหลวงและสร้างศาลาที่ประทับไว้ จึงได้พบพระเครื่อง กรุพระนางพญา และมีการคัดเลือกพระองค์ที่งดงามขึ้นทูลเกล้าถวาย และถวายราชวงศ์ใหญ่น้อย ตลอดจนแจกจ่ายข้าราชบริพารที่โดยเสด็จ จากการบันทึกคำบอกเล่าจากพระอาจารย์ขวัญ วัดระฆังฯ ว่าท่านได้รับคำบอกเล่าจากข้าราชการรุ่นเก่าผู้หนึ่ง ซึ่งมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวง แต่ท่านจำชื่อไม่ได้แล้ว คุณหลวงผู้นั้นได้เล่าให้ท่านฟังว่า ได้พระนางพญามาจากพิษณุโลก 2-3 องค์ในคราวตามเสด็จพระพุทธเจ้าหลวงในครั้งนั้นด้วย พระนางพญา กรุวัดใหญ่ (วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ)
พระนางพญา เป็นพระเนื้อดินผสมว่านและเกสรดอกไม้ ปรากฏแร่กรวดทรายผสมผสานคลุกเคล้า กดเป็นองค์พระแล้วเสร็จ จึงนำไปเผา พระส่วนใหญ่จะมีเนื้อผสมว่านน้อยหรืออาจจะไม่มี เนื้อพระจึงดูค่อนข้างหยาบ แกร่งและแข็งมาก ที่เป็นเนื้อละเอียดจะผสมว่านมาก ทำให้เนื้อพระหนึกนุ่มสวยงาม ก็มีแต่พบเห็นน้อย ผู้รู้ได้จำแนกพิมพ์ทรงดังนี้ พระนางพญา กรุวัดนางพญา จ.พิษณุโลก ได้ทั้งหมด 7 พิมพ์ คือ
1. พระนางพญา พิมพ์เข่าโค้ง ถือเป็นพิมพ์ใหญ่พิมพ์หนึ่ง
2. พระนางพญา พิมพ์เข่าตรง ถือเป็นพิมพ์ใหญ่ โดยเฉพาะพิมพ์เข่าตรง แยกออกเป็น 2 พิมพ์ด้วยกันคือ พิมพ์เข่าตรง “ธรรมดา” กับพิมพ์เข่าตรง “มือตกเข่า” แต่ทั้งสองพิมพ์ก็ถือว่าอยู่ในความนิยมเหมือนกันทั้งคู่
3. พระนางพญา พิมพ์อกนูนใหญ่ ถือเป็นพิมพ์ใหญ่
4. พระนางพญา พิมพ์อกนูนเล็ก ถือเป็นพิมพ์เล็ก
5. พระนางพญา พิมพ์สังฆาฏิ ถือเป็นพิมพ์กลาง
6. พระนางพญา พิมพ์อกแฟบ หรือ พิมพ์เทวดา ถือเป็นพิมพ์เล็ก

7. พระนางพญา พิมพ์พิเศษ เช่น พิมพ์เข่าบ่วง หรือ พิมพ์ใหญ่พิเศษ