วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

พระนางพญาพิมพ์อกนูนใหญ่ยอดแคล้วคลาด

พระนางพญา พิมพ์อกนูนใหญ่เมตตามหานิยมยอดเยี่ยม-แคล้วคลาดเป็นเลิศ : พระองค์ครู โดยไตรเทพ ไกรงู
               พระนางพญา กรุวัดนางพญา จ.พิษณุโลก จัดว่าเป็นพระเนื้อที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นพระชั้นนำที่สุดของเมืองพิษณุโลกและถูกจัดให้เป็นพระในชุด “เบญจภาคี” ที่ถือว่าสุดยอดของประเทศไทยอีกด้วย
  
               ความจริง "วัดนางพญา" เป็นวัดเดียวกับ “วัดราชบูรณะ" ต่อมาภายหลังได้สร้างถนนผ่ากลางเลยกลางเป็น ๒ วัด การได้ชื่อว่า “วัดนางพญา” ก็เพราะได้พบพระนางพญานั่นเอง
  
               ตามการสันนิษฐาน พระนางพญานั้นเป็นผู้ที่สร้างคือ “พระวิษุสุทธิกษัตรี” มเหสีของ “สมเด็จพระมหาธรรมราชา” ผู้ที่ได้สร้างหรือปฏิสังขรณ์วัดราชบูรณะ ซึ่งเป็นบริเวณที่พบพระนางพญานั่นเอง เข้าใจว่าการสร้างพระนางพญานั้นประมาณ พ.ศ.๒๐๙๐-๒๑๐๐
  
               พระนางพญา เป็นพระรูปทรงสามเหลี่ยมทุกพิมพ์นั่งมารวิชัยไม่ประทับบนอาสนะหรือมีฐานรองรับ รูปทรงงดงามแทบทุกพิมพ์โดยเฉพาะจะเน้นบริเวณอกที่ตั้งนูนเด่นและลำแขนทอดอ่อนช้อยคล้ายกับ “ผู้หญิง” จึงเรียกพระพิมพ์นี้ว่าพระพิมพ์ “นางพญา” อีกประการหนึ่งก็คือผู้ที่สร้างก็คือ “พระวิสุทธิกษัตรี” นั่นเอง
  
               พระนางพญามีอยู่ ๖ พิมพ์คือ ๑.พิมพ์เข่าโค้ง ๒.พิมพ์เข่าตรง ๓.พิมพ์อกนูนใหญ่ ๔.พิมพ์ทรงเทวดา ๕.พิมพ์สังฆาฏิ และ ๖.พิมพ์อกนูนเล็ก นอกจากนี้แล้วยังมีพิมพ์พิเศษ เช่น พิมพ์เข่าบ่วง หรือพิมพ์ใหญ่พิเศษ
  
               “พระนางพญาพิมพ์อกนูน” ก็เป็นพระนางพญาอีกพิมพ์ที่มีค่านิยมสูงแต่เป็นเพราะพระพิมพ์นี้มีจำนวนน้อยมาก นักสะสมจึงให้ความนิยมรองลงมาจาก “พิมพ์เข่าตรง” แต่กระนั้นหากองค์ไหนมีสภาพสวยสมบูรณ์ การกดพิมพ์ติดชัดเจนแล้วหากจะหามาบูชา ก็ต้องใช้เงินหลักล้านเช่นกัน
  
               พระนางพญา พิมพ์อกนูนใหญ่ เป็นพิมพ์ที่พบน้อยและหายากมาก พระพิมพ์นี้มีภาพปรากฏในวงการพระเครื่องน้อยมาก องค์นี้ที่นำมาจัดเป็นองค์ที่สวยสมบูรณ์ระดับ “แชมป์” สวยสมบูรณ์มาก มีรายละเอียดหน้าติดหมด พระพิมพ์นี้สภาพตามที่ปรากฏมีการเช่าซื้อกันในหลัก ๒-๓ ล้านบาท
  
               ส่วนการลงรักนั้นลงไว้ภายหลัง เมื่อ ๖๐-๗๐ ปี ก่อน เข้าใจว่าผู้ครอบครองในครั้งนั้นอาจจต้องการรักษาเนื้อพระ อย่างไรก็ตามมีความพยายามที่จะล้างรักออกแต่ล้างได้ไม่หมด รวมทั้งไม่ได้ทำความเสียหายใดๆ ให้กับองค์พระ
  
               พระนางพญา พิมพ์เข่าโค้ง ค่านิยมสูงสุดประมาณ ๔-๕ ล้าน ในอดีตบางองค์เคยมีการเช่าหากันในราคาถึง ๗ ล้านบาท ส่วนพระนางพญา พิมพ์เข่าตรงค่านิยมรองลงมา พอๆ กับพิมพ์อกนูนใหญ่
  
               พระนางพญาไม่ว่าพิมพ์ไหน ลักษณะของเนื้อจะเหมือนกันหมด ผิดกันแต่พิมพ์ทรงเท่านั้น ส่วนทางด้านพุทธคุณนั้นยอดเยี่ยมทางด้านเมตตามหานิยม และแคล้วคลาดเป็นเลิศ สมกับเป็นหนึ่งในห้าชุดของชุดเบญจภาคีนั่นเอง


พระ นางพญา เข่าโค้ง อกนูนใหญ่ เห็น หน้า ตา คิ้ว จมูก

พระนางพญา กรุวัดนางพญา จ.พิษณุโลก จัดว่าเป็นพระเนื้อที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นพระชั้นนำที่สุดของเมืองพิษณุโลกและถูกจัดให้เป็นพระในชุด เบญจภาคี ที่ถือว่าสุดยอดของประเทศไทยอีกด้วยพระนางพญา เป็นพระรูปทรงสามเหลี่ยมทุกพิมพ์นั่งมารวิชัยไม่ประทับบนอาสนะหรือมีฐานรองรับ รูปทรงงดงามแทบทุกพิมพ์โดยเฉพาะจะเน้นบริเวณอกที่ตั้งนูนเด่นและลำแขนทอดอ่อนช้อยคล้ายกับ ผู้หญิง จึงเรียกพระพิมพ์นี้ว่าพระพิมพ์ นางพญา

พระนางพญา พิมพ์อกนูนใหญ่ เป็นพิมพ์ที่พบน้อยและหายากมาก พระพิมพ์นี้มีภาพปรากฏในวงการพระเครื่องน้อยมาก จึงทำให้เป็นพระเครื่องที่หายากและมีราคา พระนางพญาไม่ว่าพิมพ์ไหน ลักษณะของเนื้อจะเหมือนกันหมด ผิดกันแต่พิมพ์ทรงเท่านั้น ส่วนทางด้านพุทธคุณนั้นยอดเยี่ยมทางด้านเมตตามหานิยม และแคล้วคลาดเป็นเลิศ สมกับเป็นหนึ่งในห้าชุดของชุดเบญจภาคีนั่นเอง พระนางพญาพิมพ์อกนูน จะมีจุดเด่นตรงที่ “พระอุระ” (อก) จะนูนหนาใหญ่กว่าพระนางพญาทุกพิมพ์นักสะสมจึงเรียกว่า “พิมพ์อกนูน” ตามพุทธลักษณะที่มีอกนูนกว่าทุกพิมพ์

พระนางพญาพิมพ์อกนูน ส่วนพุทธลักษณะอื่น ๆ ก็จะคล้ายกับพิมพ์เข่าโค้ง และ พิมพ์เข่าตรง คือการประทับนั่งจะอยู่ในลักษณะของ “ปางมารวิชัย” เช่นกันและ “พระเกศ” (ผม) จะมีลักษณะคล้าย “ปลีกล้วย” โยพุทธลักษณะที่แตกต่างจากพิมพ์ “เข่าโค้ง” และ “เข่าตรง” ก็มีเช่นกันนอกจากมีอก  ที่นูนหนาใหญ่แล้ว “พระพักตร์” (หน้า) ก็จะมีลักษณะที่เรียวยาวกว่าคล้ายผลมะตูมและหากองค์ใดที่พิมพ์ติดชัดจะปรากฏ “พระขนง” (คิ้ว) พระเนตร (ตา) พระนาสิก (จมูก) และ “พระโอษฐ์” (ปาก) เช่นกันแต่พบเห็นน้อยมากเนื่องจากสร้างไว้จำนวนน้อยนั่นเอง

และพระนางพญา อกนูนใหญ่ที่ท่านได้กำลังชมอยู่นี้ นับว่าเป็นพิมพ์ที่เราสามารถมองเห็น หน้า , ตา , คิ้ว , จมูก ขององค์พระที่เราสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยตาเปล่า และจะสังเกตได้ว่าพระเก่ามากและพิมพ์นี้มักจะไม่ค่อยเห็นกันได้ง่ายๆ หากใครสนใจอยากจะให้ถอดกรอบเพื่อถ่ายรูปแบบชัดๆก็บอกได้ครับ พอดีเวลาน้อยก็เลยถ่ายทั้งกรอบ ใครสนใจเสนอราคาหรือโทรมาสอบถามได้ องค์นี้พ่อเค้าเก็บไว้นานมาก เลยขอพ่อมาลงเว็บเพื่อโชว์หรือเพื่อปล่อยเช่าก็ได้ครับ

http://kruprathai.com/detail.php?id_detail=1859


พระนางพญา กรุสุดสวาสดิ์

พระนางพญากรุวัดสุดสวาสดิ์ ได้มีการขุดค้นพบเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ก่อนการขุดพบพระวัดนางพญา(กรุวัดนางพญาขุดพบครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔ )คนสมัยก่อนสนใจพระนางพญากรุวัดสุดสวาสดิ์ เพราะอนุภาพพุทธคุณในด้านเมตตามหานิยม และยังเป็นต้นแบบของพระพิมพ์นางพญา กรุวัดนางพญาและวัดต่างๆ ในจังหวัดพิษณุโลก จึงทำให้ผู้คนสนใจพระนางพญากรุวัดสุดสวาสดิ์มากกว่านางพญากรุวัดนางพญา และนางพญากรุวัดสุดสวาสดิ์เป็นพระกรุที่หายากที่สุด มีผู้รู้จักลักษณะที่แท้จริงน้อยมาก จนปัจจุบันในวงการพระเครื่องเกือบจะไม่มีใครกล่าวถึง พระนางพญากรุนี้อีกแล้ว นักสะสมรุ่นเก่าเชื่อว่า มีพุทธคุณในด้านเมตตามหานิยมสูงกว่าพระนางพญากรุวัดนางพญาเสียอีก พระนางพญากรุวัดสุดสวาสดิ์ มีอยู่หลายพิมพ์ทรง ที่เรียกหาแบบเดียวกันกับของวัดนางพญา เช่น \\\"พิมพ์ทรงเทวดา\\\" \\\"พิมพ์ทรงสังฆาฏิ\\\" เป็นต้น แต่ของวัดสุดสวาสดิ์จะมีต่อสร้อย เช่น \\\"พิมพ์สังฆาฏิหูช้าง\\\" ซึ่งลักษณะของใบหูในพระพิมพ์นี้ จะมีลักษณะค่อนข้างใหญ่หนา และกางออกมาก ผิดกับนางพญาสังฆาฏิของวัดนางพญา ถื่อเป็นเอกลักษณ์ของพระนางพญากรุวัดสุดสวาสดิ์อีกอย่างหนึ่ง ส่วนเนื้อหาจะมีความละเอียด หนึกนุ่ม เพราะมีส่วนผสมของว่าน และเกสรดอกไม้ มากกว่าเนื้อดิน ซึ่งแร่ของนางพญาทุกพิมพ์ สามารถแยกได้ด้วยสายตามีอยู่ ๔ ชนิด มีคำกล่าวถึงพระนางพญาวัดสุดสวาสดิ์ จากเซียนพระหลายท่าน อย่าง ตรียัมปวาย เชียร ธีรศาณต์ และ สมศักดิ์ จวงสวัสดิ์ ได้กล่าวถึงสีของเม็ดแร่ทั้ง ๔ ชนิด วรรณะสีสันของพระพิมพ์วัดสุดสวาสดิ์ ส่วนใหญ่ที่พบเห็นจะเป็นสีแดงเข้ม แบบมันปู แดงอ่อน วรรณะอีกชนิดที่มีลักษณะพิเศษ คือ มีสีสวาด มีทั้งสวาดเทา สวาดเหลือง และสวาดเขียว ปัจจุบัน นางพญากรุวัดสุดสวาสดิ์ หาได้ยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง คนที่มีก็รักและหวงแหนเป็นอย่างมาก กว่า กรุวัดนางพญาเสียอีก เพราะชื่อก็ดี พุทธคุณก็สูงยิ่ง พระกรุวัดนางพญาเพิ่งมาโด่งดังเอาเมื่อ ตรียัมปวาย จัดเข้าชุดเบญจภาคี แต่นางพญากรุวัดสุดสวาสดิ์นั้น มีชื่อเสียงโด่งดังในจังหวัดพิษณุโลกมาเนิ่นนานแล้ว สำหรับพระนางพญาองค์นี้ เป็นพิมพ์สังฆาฏิหูกระต่าย เป็นพระที่สมบูรณ์และสวยงามมาก มีสีแดงเข้ม แบบมันปู มีคราบว่านให้เห็น ดูง่ายถูกต้องตามหลักที่เซียนพระรุ่นเก่าหลายท่าน ที่ได้บัญญัติไว้ ท่านใดที่สนใจ ให้รีบกันหน่อยนะครับ ส่วนตัวผมเองคิดว่าถ้าให้เช่าไปแล้ว ไม่รู้ว่าชาตินี้จะมีวาสนาได้ครอบครองพระกรุนี้อีกหรือไม่ ก็ม่าย.........รู้ครับ (ขอขอบคุณข้อมูลจากนิตยสาร ลานโพธิ์) ( เชิญชมพระองค์จริงได้ที่ ชั้น P เดอะมอลล์บางแค กทม. และ ชั้น 2 พันธ์ทิพย์พลาซ่า เชียงใหม่ ครับ ร้าน ยุทธ นครพิงค์ เราคัดสรรแต่พระสวยและดูง่ายไว้บริการทุกท่าน )


http://www.pramontien.com/pra_details.php?post_no=2459

พระนางพญา หลังยันต์ดวง ปี 14

ของดี พิธีใหญ่ พระนางพญาหลังยันต์ดวง พิมพ์เล็ก ปี 2514 รวมสุดยอดพระเกจิในสมัยนั้นร่วมปลุกเสกกันอย่างคับคั่ง องค์นี้ สภาพสวย ผิวเดิม ๆ
    พระนางพญาหลังยันต์ดวง สร้าง ปี 2514 พร้อมกับพระลีลา  จัดสร้างโดยวัดนางพญา จังหวัดพิษณุโลก สมัยพระอาจารย์ถนอม เขมจาโร และพระครูบวรชินวัฒน์ โดยมีสมเด็จพระวันรัต (ปุณ ปุณณสิริ) ซึ่งต่อมาท่านได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่17 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และทรงจุดเทียนชัย พระอาจารย์ไสว สุมโน เป็นเจ้าพิธี พระครูวาม เทพมุนี เป็นประธานฝ่ายพรามห์จารย์ และพลโทสำราญ แพทย์คุณ แม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานฝ่ายฆราวาสและหลวงพ่อเงินวัดดอนยายหอม ทำพิธีดับเทียนชัย วัตถุประสงค์เพื่อหาทุนสร้างพระอุโบสถวัดนางพญา เริ่มดำเนินการเมื่อวันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2514 เวลา 09.12 น. เป็นปฐมฟกษ์ตามพระฤกษ์สร้างพระอุโบสถ์ที่ได้รับพระราชทานจากองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู้หัว และประกอบพิธีมหาจักพรรดิ์ตราธิราชตามจารีตประเพณีโบราณจารย์ พิธีอภิมหาพิธีพุทธาภิเศกที่ยิ่งใหญ่ มีพระเกจิร่วมพิธี 108 รูป อาทิ
- หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
- หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
- หลวงปู่ฝั่น อาจาโร สำนักสงฆ์ถ่ำขาม
- หลวงพ่อผาง วัดอุดมคงคาคีรีเขต์
- หลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั่ง
- ครูบาพรหมจักร์สังวร วัดพระพุทธบาทตากผ้า
- หลวงพ่อทบ วัดชนแดน
- หลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์
- หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว
- หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย์
- หลวงพ่อโอด วัดจันเสน
- หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง
- หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอม
- หลวงพ่อปี้ วัดด่านลานหอย
- หลวงพ่อพริ่ง วัดโบสถ์โกร่งธนู
- หลวงพ่อบุญมี วัดท่าสต๋อม
- หลวงพ่อแกร วัดส้มเสี้ยว
- หลวงพ่อประมุข วัดจงโก
- หลวงพ่อสว่าง วัดคหบดี
- หลวงพ่อสิงห์ วัดกุญชรวราราม
- หลวงพ่อสด วัดหางน้ำสาคร
- หลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน
และสุดยอดเกจิที่มีชื่อเสียงอีกหลายรูปในยุคนั้น โดยมีพระอาจารย์ไสว วัดราชนัดดา เป็นเจ้าพิธี


พระนางพญามหาเสน่ห์ หลังยันต์นะฤาชา ฝังตะกรุดตับเสน่ห์ อาบน้ำมันเสน่ห์จันทร์

พระนางพญามหาเสน่ห์ หลังยันต์นะฤาชา ฝังตะกรุดตับเสน่ห์ อาบน้ำมันเสน่ห์จันทร์
เป็นตำนานสุดยอดพระเครื่องมวลสารอาถรรพ์ ผงเยี่ยวนางนี(เยี่ยวชะนี) ขี้ซีนกเงือก เปลือกชาดเจ็ดป่าช้า

ผงเยี่ยวชะนี ผงเสน่ห์ พระอาจารย์เทพ เทพอินโท พระเยี่ยวชะนีเป็นเนื้อผงผสมว่านและที่ขาดไม่ได้คือเยี่ยวชะนีตามตำราโบราณ ซึ่งถือว่าเป็นมวลสารอาถรรพ์ตามธรรมชาติ พระเยี่ยวชะนีนั้นในการทำพระพิมพ์สมเด็จชะนีนั้น มวลสารที่ขาดไม่ได้ก็มีอยู่ด้วยกัน 4 อย่างคือ 1 ยอดสวาท 2 ยอดรักซ้อน 3 ว่านสาวหลง 4 เยี่ยวชะนี และผงอิธิเจ ในส่วนของเยี่ยวชะนี การเก็บเยี่ยวชะนีก็จะเก็บมาโดยเอาใบรักซ้อน ใบสวาท ใบมะยม ใหชะนีเยี่ยวรด แล้วนำมาผึ่งแดด และบดเป็นผงเพื่อให้ง่ายต่อการนำมาใช้เป็นมวลสารหลักในการจัดสร้างสมเด็จเยี่ยวชะนีอันลือลั่น พุทธคุณ เมตตาล้วนๆในส่วนของการปลุกเสก ส่วนตำราในสายเขมร และสายอีสานต้องมีผงเยี่ยวนางนี ขี้ซีนกเงือก เปลือกซากเจ็ดป่าช้า คือ 1 เยี่ยวชะนีตามที่กล่าวเอาไว้เอาใบไม้นามมงคลมีใบรักซ้อน ในสวาท ใบมะยม ให้ชะนีเยี่ยวรด แล้วนำมาผึ่งแดด และบดเป็นผง ผสมกับผงอิธิเจ และผงยาเสน่ห์ ปลุกเสกด้วย นะอ่อนใจ 2 ขี้ซีนกเงือก ซึ่งดวยพระอาจารย์เทพ เป็นคนโคราช คุ้นเคยกับเขาใหญ่ รูจักดินโป่ง และนกเงือกว่ามีของดีของอาถรรพ์อยู่ในตัว ตำราครูบาอาจารย์ท่านว่าไม่ได้นำเอานกเงือกมาทำ มันเป็ฯบาป ให้เอาขี้ซ๊เป็นภาษาอีสาน คือยางที่แห้งของต้นไม้อยู่ใต้รัง วิธีเอาต้องเป็นผู้รู้วิชา โดยเท่านพระอาจารย์เทพเป่ามนต์มหาระงับปลุกเสกมะนาวแล้วโยนข้ามต้นไม้ที่มีรักนกเงือกแล้วปีนขึ้นไปเอาถ้านกเงือกบินหนีถือว่าใช้ไม่ได้ ต้องให้นกเงือกหลับทั้งหมดเลยที่เดียว พระอาจารย์เสกครั้งเดียวแล้วใช้ให้ลูกศิษย์ที่ถือศีลแปดปีขึ้นไปเอาช้าเวลาอยู่สามเดือนได้มาครึ่งกิโล นำขี้ซีมาบดละเอียด แล้วทำน้ำมนต์แม่น้ำทั้งห้าปลุกเสกผสมลงกับผงเยียวชะนีเฉพาะขี้ซีนี้ท่านว่าแรงก่ว่าเยี่ยวชะนีนับพันๆเดท่าแลยที่เดีว สมัยพระพระอาจารย์ไปเรียนกับหลวงพ่อชื่นก็ใช้ให้ท่านไปหาสิ่งนี้แหละเพื่อแลกกับวิชาของหลวงพ่อนับว่าแรงจริงๆ 3 เปลือกเจ็ดป่าช้า มีมากในภาคอีสานแต่ท่านให้เอาเฉพาะเขตอีสานได้เท่านสั้นเอาเปลือกตรงโคนต้นไม้รวมทั้งเอาเนเจ็ดป่าช้าติดมาด้วย แล้วนำมาเผาให้ละเอียดตำป่นอีกทีนึง ล้วนแต่เป็นของอาถรรพ์แรงมากๆ ท่านยังได้ผสมจุนแผนที่หลวงปู่สรวงปลุกเสกป่นลงไปอีเป็นจำนวนมาก ผสมกับผงว่านด้านมหาเสน่ห์ มีว่าน นุภาพนั้นเรื่องมหานิยม โชคลาภฯลฯ


พระ ชุดนี้แรงมากมีพุทธคุณด้าน มหาเสน่ห์เป็นหลัก พร้อมทั้งเรื่องมหาลาภ เรียกทรัพย์ เจริญในหน้าที่การงาน หนุนดวงชะตา เป็นเมตตา มหานิยม มหาละลวยอยู่ในตัว แคล้วคลาด ปลอดภัย อยู่ยงคงกระพัน อีกทั้งมหาอุต อีกด้วย มีพุทธคุณครอบจักรวาล


พระนางพญา

ศูนย์อาชีพและธุรกิจมติชน ร่วมกับสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย จัดเปิดอบรมหลักสูตรพื้นฐานในการพิจารณา ชุดพระเครื่องเบญจภาคี พระสมเด็จวัดระฆังฯ, พระนางพญา กรุวัดนางพญา จ.พิษณุโลก 

มี นายพิศาล เตชะวิภาค หรือ ต้อย เมืองนนท์ อุปนายกสมาคม เซียนพระชื่อดัง เป็นวิทยากรบรรยายความรู้ ในวันอาทิตย์ที่ 5 ส.ค. 2555 ระหว่างเวลา 09.00-16.00 น. ณ หอประชุมข่าวสด หมู่บ้านประชานิเวศน์ 1 เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 



สุดยอดพระเครื่องของเมืองไทย ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่นักสะสมมายาวนาน พระชุดเบญจภาคี ประกอบด้วยพระสมเด็จ วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ จัดสร้างโดย สมเด็จ พุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เป็นตัวแทนยุครัตนโกสินทร์ พระซุ้มกอ เป็นตัวแทนยุคสุโขทัย พระนางพญา กรุวัดนางพญา จ.พิษณุโลก เป็นตัวแทนยุคอยุธยา-พระพิษณุโลก สองแคว พระผงสุพรรณ กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.สุพรรณ บุรี เป็นตัวแทนยุคอู่ทอง-สุพรรณภูมิ และพระรอด กรุวัดมหาวัน จ.ลำพูน เป็นตัวแทนยุคลพบุรี 

พระเครื่องชุดเบญจภาคีนั้น งดงามด้วยพุทธศิลป์ เปี่ยมด้วยพุทธคุณ ถ้าอาราธนาเข้าชุดในสร้อยเส้นเดียวกันทั้ง 5 องค์ โดยให้ สมเด็จวัดระฆังฯ อยู่ตรงกลาง พระนางพญา อยู่ล่างซ้าย พระซุ้มกออยู่ล่างขวา พระผงสุพรรณอยู่บนซ้าย และพระรอด อยู่บนขวา ดูเหมาะสมลงตัวเป็นที่สุด 

แต่ถ้าจะห้อยเพียงองค์เดียว พระนางพญาพิมพ์สาม เหลี่ยม มีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง สำหรับอาราธนาขึ้นคอทั้งสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี และเด็ก

ด้วยเพราะองค์มีขนาดเล็กกะทัดรัด 




"พระนางพญา" เป็นพระกรุพระเก่าเนื้อดินเผามีอยู่ด้วยกันหลายพิมพ์ พิมพ์ที่นิยมที่สุด คือ "พิมพ์เข่าโค้ง" รองลงมา พิมพ์เข่าตรง, พิมพ์อกนูนใหญ่, พิมพ์สังฆาฏิ, พิมพ์เทวดาหรือพิมพ์อกแฟบ และพิมพ์อกนูนเล็ก 

"วัดนางพญา" ตั้งอยู่หลังวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก 

สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา และเป็นวัดที่พระมเหสีของพระมหากษัตริย์เป็นผู้สร้างวัดนี้ไว้คู่กับวัดราชบูรณะ



พระเครื่องที่พบในกรุวัดนางพญา เท่าที่พบมีอย่างเดียวคือ "พระนางพญา" และเป็นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากเป็นที่นิยมอยู่ในชุดเบญจภาคี การขุดพบพระครั้งแรกเมื่อปี 2444 กรุพระนางพญา เป็นซากปรักหักพังฝังจมดินอยู่บริเวณด้านหน้าของวัด การที่พบก็เพราะเหตุที่ทางวัดดำริจะปลูกสร้างศาลาเล็กๆ ขึ้นตรงบริเวณนั้น ครั้นพอขุดหลุมจะลงเสาศาล ก็ได้พบพระนางพญาจำนวนมากฝังจมดินอยู่กับซากกรุ และได้เก็บรวบรวมไว้ที่วัดนางพญานั่นเอง

ต่อมาได้มีการขุดพบพระนางพญาอีกเมื่อปี 2487 แต่ก็มีจำนวนไม่มากนัก



พระนางพญาพิษณุโลก พิมพ์ที่นิยมกันมากๆ ก็คือพิมพ์เข่าโค้งและพิมพ์เข่าตรง พระทั้งสองพิมพ์นี้มีขนาดไล่เลี่ยกัน และสำหรับพิมพ์เข่าตรงเองก็ยังจำแนกออกเป็นสองพิมพ์ คือพิมพ์เข่าตรง และพิมพ์เข่าตรง (มือตกเข่า) ซึ่งมีลักษณะและขนาดใกล้เคียงกันอีกด้วย 

พระนางพญา ชื่อเป็นมงคล ใครได้มีโอกาสครอบครองจะมียศฐาบรรดาศักดิ์ ทรัพย์สินเงินทอง 

ไม่ต่างอะไรกับ "นางพญา" 

พุทธคุณขององค์พระนางพญา มีความเชื่อโดดเด่นด้านมหาเสน่ห์เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย


http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dPVEEwTURjMU5RPT0=

สมเด็จนางพญา พระนางพญา

สมเด็จนางพญา พระนางพญา
อุลกมณี มีหลายชื่อที่เรียกหากัน อุกกามณี แก้วข้าว สะเก็ดดาว เหล็กไหลต่างดาว คดปลวก พลอยจันทรคราส หยดน้ำฟ้า(ตามรูปร่างที่ปรากฏ) สะเก็ดดาว หรืออุลกมณี ตรงกับคำว่า "tektite" ในภาษาอังกฤษ โดยมีรากศัพท์มาจากคำว่า Tektos ในภาษากรีก แปลว่า หลอมละลาย อุลกมณีที่พบจะมีเนื้อแก้ว ส่วนใหญ่สีดำทึบคล้ายนิล บางชิ้นมีเนื้อในสีน้ำตาลใส ผิวของอุลกมณีจะเป็นหลุมเล็ก ๆ โดยรอบ รูปลักษณ์สัณฐานของอุลกมณีไม่แน่นอน อาจเป็นก้อนกลม ยาวแบน แท่งกลมยาว คนไทยบางท่านเชื่อว่าสามารถแบ่งอุลกมณี เป็นชนิดต่างๆตามรูปร่าง เช่น ตัวผู้(รูปทรงเป็นแท่งคล้ายลึงค์) หรือตัวเมีย(รูปทรงกลม) มนุษย์เรารู้จักอุลกมณีมานานแล้ว โดยเชื่อกันว่าเป็นสะเก็ดดาวจากนอกโลก ที่ตกเข้ามายังพื้นผิวโลก
TEKTITE ( สะเก็ดดาว )
บางทีก็จะเรียกว่า อุกมณี หรือ คดปลวก สะเก็ดดาว มีพละพลังสูงส่ง หากท่านที่สามารถจับพลังได้ทดลองจับดูจะรู้สึกร้อนมือ หรือมีบางอย่างกระตุ้นที่ฝ่ามือ หรือ ชาๆ ที่มือ สะเก็ดดาว หรือ Tektite มาจากคำว่า Tektos ในภาษากรีก แปลว่า หลอมละลาย ชื่อนี้ถูกขนานนามโดย SUESS เมื่อปี ค.ศ 1900 ท่านผู้นี้เชื่อว่าสะเก็ดดาวเป็นแร่ชนิดหนึ่ง มาจากนอกโลกหรือต่างพิภพ บางท่านเชื่อว่ามาจากดวงจันทร์ รูปลักษณ์สัณฐาน ไม่แน่นอน อาจเป็นก้อนกลวงรูปไข่ยาวแบน แต่ที่แน่ ๆ คือที่ผิวของสะเก็ดดาวจะเป็นหลุมเล็ก ๆ โดยรอบ ทั้งนี้เนื่องจากซิลิกา (Silica) หลอมละลายเป็นแก้วเมื่อเสียดสีกับบรรยากาศ มีขนาดความกว้าง ไม่เกิน 2 นิ้ว ที่พบเสมอ ๆ คือขนาดประมาณ 1 นิ้ว สีดำ น้ำตาล หรือสีเขียว มักพบจมดินอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม

คุณสมบัติของสะเก็ดดาว
เป็นแหล่งของศิลปศาสตร์ความรอบรู้และพลัง กระตุ้นเตือนจิตสำนึกก่อให้เกิดความจดจำอันแม่นยำ ลึกซึ้ง จึงควรใช้ขณะปฏิบัติการต่าง ๆ เช่น ขณะทำสมาธิจิต การพกพาไว้กับตัวก่อให้เกิดสนามพลังแก่ออร่ารอบตัว ทำให้ออร่าเข้มเข็ง มั่นคง ปกป้องคุ้มครอง และขับไล่สิ่งที่มารุกราน ขจัดปัดเป่าสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ (วิญญาณแฝงหรือพลังแฝง)
นำสะเก็ดดาววางไว้ที่จักระ 6 ขณะทำสมาธิจิต หรือสรรสร้างพลังตาทิพย์ เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมแห่งธรรมชาติ เกิดความรู้ความคิดสร้างสิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ เหมาะกับนักออกแบบ ศิลปิน นักแสดง นักดนตรี นักศึกษาหาความรู้ ถ้าวางไว้ที่จักระ 4 หรือทำเป็นจี้ห้อยคอ ช่วยบรรเทาอาการผิดปกติต่าง ๆ ของจิตใจ ผู้ที่มีความรู้สึกหมดหวัง หมดอาลัยในชีวิต ถ้านำสะเก็ดดาววางไว้ที่จักระ 5 ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นที่อยู่ห่างไกล หรือติดต่อกับวิญญาณที่อยู่ต่างมิติ ( Telepathic Communication )
การใช้สะเก็ดดาวร่วมกันกับพลอยชนิดอื่น ๆใช้สะเก็ดดาวร่วมกับ พลอยสีม่วง จะช่วยเพิ่มพลังแก่จักระที่ 6 และ 7 เกิดการหยั่งรู้ ( Intuition ) ต่อเชื่อมกับผู้รู้และเทพเบื้องบน ใช้ร่วมกับ Rose Quartz ที่จักระ 4 ก่อให้เกิดพลังแห่งความเมตตา เหมาะแก่ผู้ที่มีอารมณ์กร้าวร้าว ดุดัน โหดร้าย เห็นแก่ตัว ชอบเอาเปรียบผู้อื่น ใช้ร่วมกับพลอย Lapis Lazuli ก่อให้เกิดพละพลังแห่งความนึกคิดทั้งหลาย มีความเฉลียวฉลาดมีไหวพริบดีขึ้น ใช้ร่วมกับ Citrine ก่อให้เกิดความนึกคิดแห่งการสรรสร้าง วางไว้ที่จักระ 6 เกิดญาณหยั่งรู้ เหมาะแก่ครูอาจารย์ และผู้ศึกษาหาความรู้

ตามความเชื่อ

เชื่อว่ามีเทพคุ้มครองจึงไม่แนะนำให้นำไปแกะสลักโดยไม่เชิญดวงวิญญาณออกก่อน เมื่อแกะสลักแล้วจึงค่อยเชิญดวงวิญญาณเข้าไปใหม่

เชื่อกันว่ามีสรรคุณน้องๆเหล็กไหล แต่หาคนใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ได้น้อย

เด่นทางด้านโชคลาภ ค้าขายจึงเรียกว่า แก้วข้าว ในทางเหนือนิยมเก็บไว้ที่ยุ้งฉาง
จะทำให้พืชพันธ์ให้ผลผลิตสูง

เป็นนายแห่งอัญญมณีทั้งปวงช่วยขจัดพลังอัญมณีให้โทษ และเสริมฤทธิ์อัญมณีมีคุณทั้งปวง
สมเด็จนางพญา พระนางพญา แกะจากอุลกมณี หรือ สะเก็ตดาว การแกะสลักพระสมเด็จนางพญา มีความยากกว่าการแกะหินทั่วไป ราคาพระสมเด็จนางพญาจึงสูงกว่าการแกะสลักพระเนื้อทั่วไป